ในยุคโซเชียลเป็นยุคที่ทันสมัย ง่ายต่อการส่งต่อความดีด้วยการแชร์ให้คนอื่นได้รู้ การส่งข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ถ้าเป็นเรื่องที่ดี มีประโยชน์จะเกิดการช่วยเหลือกันในสังคม ทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น และนี่คือครูเชาว์ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า ครูข้างถนน เขาเป็นใคร ติดตามได้จากคลิปนี้นะคะ คลิปวิดีโอบรรยากาศบางส่วนในงานสังคมแห่งการแบ่งปันครั้งที่ 1 ที่ครั้งนี้ พวกเราไปร่วมด้วยช่วยครูเชาว์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่หลายคนมองข้ามไป
1.เป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน การให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ การให้นั้นมีหลายแบบ เราสามารถให้ได้ทั้งสิ่งของต่างๆ เงิน ทรัพย์สมบัติ หรือการให้ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยคือการให้รอยยิ้ม ให้อภัย ให้ความอบอุ่น ให้ครอบครัว หรือเป็นครอบครัวให้กับเด็กๆนั่นเอง จริงๆแล้วเด็กก็ไม่ต้องการอะไรจากเรามากมาย เพียงแค่ความรัก ความอบอุ่น ความข้าใจก็เท่านั้นเอง
2.เป็นผู้เสียสละ จริงๆแล้วครูเชาว์ไม่ต้องมารับหน้าที่นี้ก็ย่อมได้ ไม่ต้องมาดูแลเด็กก็ได้ ครูเชาว์จะไปทำอะไรเพื่อตัวเองก็ยังได้ แต่ครูเชาว์คือผู้เสียสละที่แท้จริง ทำทุกๆอย่างเพื่อเด็ก เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ ครูเชาว์จึงดูแลเด็ก และสั่งสอนเด็ก เพื่อให้เติบโตมาเป็นคนดีของสังคม
3.อย่าย่อท้อต่อชีวิต ต่อให้โชคชะตาไม่เข้าข้างเรา เราก็จงสร้างโชคชะตาขึ้นมาเอง ยังมีใครอีกหลายคนที่เขาเดือดร้อน เขาประสบปัญหาหนักๆ เขาด้อยกว่าเรามาก แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าโชคชะตาหรืออะไรก็ตามจะกลั่นแกล้ง สารพัดปัญหา แต่เขาก็สามารถเอาชนะ และผ่านพ้นมันไปได้ เพียงแค่มองว่ามันคือปัญหาที่เล็กนิดเดียว ฉันพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ฉันต้องชนะ แล้วสุดท้ายเรื่องราวร้ายๆก็จะผ่านไป ฟ้าหลังฝน ฟ้าหลังพายุที่ถาโถมเข้ามา มันสวยงามเสมอ
4.ไม่คดโกง ครูเชาว์ยังนำเงินที่ได้รับบริจาค ไปสร้างห้องและต่อเติมห้องต่างๆเพื่อเด็กๆ ทุกครั้งที่ใครหลายๆคนได้บริจาคเงินไป เรามักจะเห็นผลงานเสมอว่า มีอะไรเพิ่มขึ้นมาในสถานที่ ที่ครูเชาว์สร้างไว้ให้เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นสนามเด็กเล่น ห้องเรียนรู้ ห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้น ถึงอุปกรณ์ต่างๆจะยังไม่ครบเท่าที่จะควรเป็นก็ตาม แต่ครูเชาว์ก็พยายามทำมันให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อที่จะรองรับเด็กๆหรือคนป่วยได้
5.ขยะคือเงิน ครูเชาว์ยังสอนให้เด็กๆรู้คุณค่าของการนำขยะมารีไซเคิล เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ครูเชาว์บอกว่าถ้าเด็กมาขอขนม แล้วเราให้ไปง่ายๆ ต่อไปเขาก็จะมาขอเรื่อยๆ เพราะเราให้เขาไปอย่างง่ายๆ แต่ครูเชาว์จะไม่ทำอย่างนั้น ครูเชาว์เลือกที่จะให้เด็กเก็บขยะรีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติก ขวดแก้ว ลังกระดาษ ต่างๆ มาแลกขนม ยิ่งขนมหรือของเล่นชิ้นใหญ่ ยิ่งต้องเก็บขวดให้ได้มาก แล้วถ้าสังเกตดีๆสถานที่ ที่ครูเชาว์และเด็กๆอยู่ จะสะอาดมาก ไม่มีขยะให้เราเห็นเลย คงเป็นเพราะเด็กๆเห็นคุณค่าของขยะนั่นเอง
6.เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ทุกอย่างล้วนมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นของใช้ต่างๆ ตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ แก้วน้ำ จะเห็นได้ว่าสิ่งของผ่านการใช้งานมาพอสมควร แต่ยังคงสึกหรอไปนิดหน่อย เหมือนได้รับการดูแลอย่างดีจากการใช้งานแต่ละครั้ง
7.การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ใช่เพียงแต่ในห้องเรียนเท่านั้น ที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ สิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นรอบตัวเราอยู่เสมอ เราสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งเหล่านั้น หรือจากประสบการณ์ของตัวเอง ถ้าเรืื่องที่ทำเป็นเรื่องดี เราก็ควรทำและพัฒนามันต่อไป แต่เมื่อใดที่เรารู้ว่ามันไม่ได้ เราก็ควรหยุดและไม่ทำมันให้เกิดขึ้นอีก บนโลกใบนี้ยังมีหลายอย่างให้เรียนรู้อีกมากมายไม่มีวันสิ้นสุด
8.ใส่ใจความรู้สึกของเด็ก หลายๆคนคงจะเอาใจเด็ก ตามใจหรือบางคนก็คงไม่ใส่ใจเลย แต่ครูเชาว์ใส่ใจในเรื่องของ ความรู้สึกมากเป็นพิเศษ ถ้าเกิดเด็กทะเลาะกับพ่อแม่ ครูเชาว์ก็จะเปิดสถานที่ที่พักพิงเด็กให้ เพื่อให้เขาได้ใจเย็นลงก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เด็กไปมั่วสุมหรือหนีไปอยู่ที่อื่น อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ
9.รู้จักประหยัดอดออม ครูเชาว์สอนให้เด็กเห็นคุณค่าของเงิน ว่ากว่าจะได้แต่ละบาทต้องเหนื่อยแค่ไหน ต้องยากลำบากแค่ไหนกว่าจะได้เงินมา สอนให้เด็กรู้จักประหยัดอดออม ออมเงิน ใช้เงินอย่างมีคุณค่า เรียกได้ว่าเป็นการปลูกฝังตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว
10.ทำความดี ครูเชาว์ได้ทำความดีเพื่อถวายพ่อหลวงของเรา ได้ใช้ชีวิตตามรอยท่าน ได้เสียสละตัวเองมาดูแลเด็ก ครูเชาว์เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเด็ก ไม่ว่าจะถูกด่า ว่า ล้อเลียนอะไรก็ตาม ครูเชาว์ก็ยังคงทำหน้าที่และทำความดีต่อไปเพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่เด็กทุกๆคน