ถ้าเราเชื่อว่าการสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เราจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเล่าเรื่องให้เป็น เพราะ การเล่าเรื่อง เป็น ไม่ว่าจะเล่าด้วยการพูดหรือเขียน ถ้าทำให้คนอินได้ รู้สึกอยากติดตาม รู้สึกเชื่อมั่น พร้อมทำตาม มีความรู้สึกร่วมได้ ฯลฯ เมื่อนั้นแบรนด์เราก็ได้เข้าไปอยู่ในใจของผู้คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อผู้คนจดจำแบรนด์ได้ พวกเขาก็จะกลายมาเป็นลูกค้าและกับแบรนด์ที่เล่าเรื่องได้เก่ง ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อซ้ำใช้ซ้ำไปตราบชั่วชีวิต
ในทางธุรกิจมีศัพท์สำคัญคำหนึ่งที่เรียกว่า LTV หรือ Life Time Value หมายถึง “มูลค่าตลอดชีพของลูกค้า” ซึ่งธุรกิจใดก็ตามที่ทำให้ LTV สูงได้มากกว่าต้นทุนต่อการทำให้คน ๆ หนึ่งมาเป็นลูกค้าได้ ก็จะยิ่งรวยได้ง่ายและมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน
สมัยก่อน การเล่าเรื่อง อาจไม่ทรงอิทธิพลมากนัก หรืออาจเห็นได้ไม่ชัดเท่าไร แต่ในยุคดิจิทัลที่อินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ต้องบอกเลยว่านี่คือยุคทองของนักเล่าเรื่องโดยแท้จริง ยกตัวอย่างการเป็นยูทูปเบอร์ ถ้าเราเล่าเรื่องได้เก่งถูกใจ มีผู้ติดตาม มีคนเข้าชมวีดีโอของเรามาก ๆ เราก็จะได้เงินจากยูทูปไปเรื่อย ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว วีดีโอเดียวก็สร้างเงินต่อเนื่องไปได้ตลอดชีวิตแล้ว ตราบที่ยังมีคนใหม่ ๆ เข้ามาดูวีดีโอนั้นอยู่ แต่เมื่อมีหลายวีดีโอ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการทำรายได้เข้าไปอีก
จริงอยู่ที่ยอดวิวเยอะ ๆ นั้น มาจากจำนวนคนหลาย ๆ คน แต่ถ้าทักษะ การเล่าเรื่อง ของเรา ทำให้คน ๆ หนึ่งประทับใจได้แล้ว เขาจะไม่ดูเราแค่คลิปเดียว แต่จะตามไปดูทุกคลิป แล้วเมื่อเราทำสินค้าอะไรออกมา ทำบริการอะไรออกมาก็มีแนวโน้มว่า เขาจะตามไปเป็นลูกค้าเราด้วย
หากลองคิดตามไปในแบบกรณีพี่โน้สอุดมเป็นตัวอย่าง เดี่ยวล่าสุดคือเดี่ยว 13 เชื่อว่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ดูพี่โน้สมาตั้งแต่เดี่ยว 1 หรือก่อนนั้นด้วยซ้ำ และก็เชื่ออีกว่าถ้าพี่โน้สยังจัดเดี่ยวต่อไป คน ๆ นั้นก็จะยังคงตามพี่ไปดูพี่โน้สอีก หรือถ้าพี่โน้สทำอะไรมีอะไรให้อุดหนุนก็มีแนวโน้มว่าเขาจะอุดหนุนพี่โน้สเสมอ
นอกจากนั้น เมื่อเล่าเรื่องได้เก่งก็จะดึงดูดการจ้างงานรูปแบบอื่น ๆ เข้ามาให้เราได้อีกมาก เช่นมีคนมาจ้างไปรีวิว ไปเล่า ไปบรรยาย ซึ่งเมื่อจ้างแล้วถูกใจ คนจ้างก็จะกลายมาเป็นลูกค้าประจำเรา จ้างเราต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เกิดเป็น LTV ในฝั่งการจ้างงานอีกลูป จนทำให้เกิดรายได้ทุกทิศทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โลกยุคปัจจุบันเอื้อประโยชน์ต่อการส่งต่อเรื่องเล่าของเรา เข้าไปถึงผู้คนจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญจริง ๆ แล้วต้นทุนต่อการเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่งนั้น ก็ไม่ได้จำเป็นต้องใช้งบประมาณอะไรมากมาย ขอแค่เรื่องที่เล่ามีเนื้อหาที่ดีและเป็นประโยชน์ แล้วตัวเราฝึกฝนทักษะการเล่าเรื่องได้ดีพอ โอกาสที่เรื่องเล่านั้นจะไปตอบโจทย์โดนใจใครต่อใคร จนถูกแชร์ต่อไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้จบก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นนักเล่าเรื่องที่ประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ถึงแม้ไม่ต้องสำเร็จยิ่งใหญ่ เพียงแค่เราคือหนึ่งในคนที่เล่าเรื่องเป็นล่ะก็ เราก็จะมีโอกาสสร้างรายได้ สร้างธุรกิจ สร้างอาชีพที่มั่นคงได้แบบไม่ยากเย็นเลย
เหมือนกันกับที่ทุกธุรกิจในโลกทุกวันนี้ล้วนทุ่มงบประมาณให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ด้วยการเล่าเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะพวกเขาตระหนักดีกว่า ถ้าเรื่องที่เล่านั้นจับกุมหัวใจผู้คนได้เมื่อไร พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างมากมายมหาศาล ด้วยการได้ลูกค้าจงรักและมี Loyalty ที่พร้อมจะอุดหนุนแบรนด์ไปตลอด