แม้วันนี้ สตีฟ จ็อบส์ จะไม่อยู่แล้ว แต่ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขายังคงเป็นหนึ่งใน “นักเล่าเรื่อง” ที่เก่งมากที่สุดในโลก หลายคนอาจไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งก่อนที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้คนทั้งโลกได้รู้จักกับ Ipod, Itune, IPhone ฯลฯ
สตีฟ จ็อบส์ เคยถูกไล่ออกจาก Apple มาก่อน ซึ่งหลังจากที่ออกจาก Apple แล้ว เขาก็มุ่งหน้าเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งที่ที่สุดในโลก โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะโค่น “ดิสนีย์” ที่ผูกขาดธุรกิจการเล่าเรื่องมานานแสนนาน
แล้วสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ ทำก็คือ การปั้น Pixar ขึ้นมา จนสร้างมาตรฐานใหม่ของการเล่าเรื่องผ่านการ์ตูนแอนิเมชั่น จนได้รับออสการ์มากมาย และจนสุดท้ายดิสนีย์ก็ซื้อ Pixar ไปในราคา 7.4 พันล้านดอลลาร์
หลังจากนั้นสตีฟ จ็อบส์ ก็กลับไป Apple ในปี 1997 และกลายเป็น CEO ที่ทำให้ Apple กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก ผ่านการเล่าเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ที่สั่นสะเทือนวงการ ซึ่งแน่นอนว่าเขาเอาทักษะการเล่าเรื่องที่ใช้กับ Pixar มาใช้กับ Apple นั่นเอง
“1,000 songs in your pocket” หรือ “1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ” เป็นแนวคิดการเล่าเรื่องในการขาย iPod ซึ่งถือเป็นการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง จับต้องได้ และพุ่งตรงสู่กลางใจเป้าหมายในทันที เพราะเพียงแค่ “ข้อความเดียวนี้” ก็โฟกัสไปที่ปัญหาของคนยุคนนั้นที่ต้องพกแผ่นซีดี แบกอะไรเยอะแยะไปเพื่อฟังเพลง แต่ทั้งหมดทุกอย่าง จะกลายเป็นเรื่องง่ายด้วยการยัด “พันเพลง” ลงไปใน “กระเป๋าคุณ”
สตีฟ จ็อบส์เชื่อมโยงเรื่องเล่ากับประสบการณ์ของลูกค้า ผู้คนในสังคมยุคนั้นอย่างชาญชาญ ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนเลยว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย ไปทำงาน เดินทาง ฯลฯ ทุกจังหวะชีวิตจะไม่มีสิ่งแกะกะอย่างแผ่นซีดีอีกต่อไป แล้วเข้าถึงพันเพลงได้ง่าย ๆ ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงเล็ก ๆ
ความสำเร็จของการเล่าเรื่องขาย iPod คือ จุดเริ่มต้นยุคเรืองรองของ Apple และทำให้ Apple เป็น Apple อย่างทุกวันนี้ ซึ่งต่อให้สตีฟ จ็อบส์ จะเก่งแค่ไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขาและงานของเขานั้น คือ ทักษะการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง และเข้าใจคนฟังเป็นอย่างดี