ในวันนี้ที่ เมสซี่ (Messi) กลายเป็นตำนาน หลายคนอาจรู้สึกว่ารู้จัก เมสซี่ ดีแล้ว แต่ 5 เรื่องเล่าต่อจากนี้ไปอาจเป็นสิ่งที่คุณไม่อาจเคยรู้มาก่อนก็ได้
1.เมสซี่เป็นเด็กป่วยที่กลายเป็น นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่
เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตตั้งแต่อายุ 11 ปี ซึ่งต้องรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนที่ขาเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี แต่ทว่าความบกพร่องของร่างกายก็ไม่ได้ทำให้ความรัก ทักษะ และพรสวรรค์ที่มีต่อฟุตบอลของเราลดน้อยลงเลย จนมุ่งมั่นพาตัวเองให้กลายมาเป็นตำนานได้สำเร็จอย่างวันนี้
2.สัญญานักฟุตบอลฉบับแรกของเมสซี่ถูกเขียนบนกระดาษเช็ดปาก
บาร์เซโลน่าประทับใจในพรสวรรค์ของเมสซี่มาก ซึ่งแม้จะรู้ว่าเขาคือเด็กป่วยทางร่างกายที่ดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเล่นฟุตบอล แต่พรสวรรค์ของเมสซี่ก็เอาชนะทุกอย่างเอาชนะความเห็นคัดค้านของบอร์ดบริหาร จนถูกเร่งรัดทำเซ็นสัญญาอย่างเร่งด่วนบนกระดาษเช็ดปาก เพื่อดึงตัวเมสซี่ไปอยู่สเปนตั้งแต่อายุ 13 ปี พร้อมทั้งบาร์เซโลน่าเป็นผู้จ่ายค่ารักษาทุกอย่างให้กับเมสซี่ด้วย
3.เมสซี่เป็นพลเมืองสเปนที่พาอาร์เจนติน่าเป็นแชมป์โลก
ด้วยเพราะอยู่สเปนมาตั้งแต่เด็ก เพื่อย้ายมาเล่นฟุตบอลให้บาร์เซโลน่า จึงทำให้เมสซี่กลายเป็นพลเมืองของประเทศสเปนไปโดยปริยายและครั้งหนึ่งเขาก็เคยได้รับข้อเสนอให้ติดทีมชาติสเปนด้วยแต่เมสซี่ก็เลือกที่จะปฏิเสธ แล้วเลือกเล่นให้กับอาร์เจนติน่าประเทศบ้านเกิด ซึ่งแม้จะผิดหวังมาหลายครั้งจนเกือบถอดใจ แต่สุดท้ายก็พาอาร์เจนคว้าชัยแชมป์โลกจนเป็นตำนานที่สมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
4.ท่าดีใจที่ยิงประตูได้แล้วชี้มองขึ้นฟ้า เมสซี่ทำเพื่อระลึกถึงคุณยายผู้ล่วงลับ
คุณยายของเมสซี่คือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลต่อชีวิตของเมสซี่มากที่สุดคนหนึ่ง เพราะเธอคอยสนับสนุนพาเมสซี่ไปแข่งไปซ้อมฟุตบอลตั้งแต่เมสซี่ยังเด็ก ๆ แต่ด้วยเพราะคุณยายจากเมสซี่ไปตั้งแต่ตอนเขาอายุแค่ 10 ขวบเท่านั้น จึงทำให้ทุกครั้งที่เมสซี่ทำประตูได้ เขาจะชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่ออุทิศประตูนั้น ๆ ให้กับคุณยาย ที่ผลักดันทำให้เขามีวันนี้
5.เจ้าหมัดน้อย “ลา ปุลก้า” ฉายาในโลกฟุตบอลของเมสซี่
เชื่อว่าส่วนใหญ่จะเรียกเมสซี่กันว่า “มนุษย์ต่างดาว” มากกว่าจะคุ้นเคยกับฉายา La Pulga หรือ เจ้าหมัดน้อย ทั้งนี้ เหตุผลที่เมสซี่ได้รับฉายาว่า “หมัด” ก็ด้วยเพราะความว่องไว ตัวเล็ก ที่สามารถเลี้ยงผ่านทุกทุกคนในสนามไปได้แบบที่หาใครจับได้นั่นเอง
5 เรื่องเล่าของเมสซี่ที่คุณอาจไม่รู้ เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้อาจมีบางคนที่รู้สึกว้าว ในขณะที่บางคนก็อาจรู้สึกว่ารู้อยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่ที่ทำให้แปลกใจ แต่ถึงจะรู้อยู่แล้ว การที่ Content นี้ พาทุกคนมาถึงบรรทัดนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเครื่องพิสูจน์วิธีการใช้ “พาดหัว” การทำตีม Content ด้วยเทคนิคกระตุ้นความอยากรู้ว่ามีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี
เพราะโดยธรรมชาติแล้วคนเรา มีความอยากรู้อยากเห็นเสมอ ยิ่งกับเรื่องที่บอกว่าเราอาจไม่รู้ ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่ามันคือเรื่องอะไรนะ แล้วฉันจะไม่รู้จริงหรือเปล่า กลายเป็นดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาอ่านฟังติดตามไปแบบที่ไม่สามารถหักใจเลื่อนผ่านได้
ดังนั้น หากวันนี้เราจำเป็นต้องสร้าง Content ที่อยากให้มีคนเข้ามาติดตามอ่านกันเยอะ ๆ การเลือกเอาเทคนิคการพาดหัวและทำเรื่องราวในแนว “รู้หรือไม่ รู้ไหม?” ก็ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการทำ Content ที่ยังทรงพลังและมีประสิทธิภาพที่ไม่ควรมองข้าม