“ต่อให้พยายามแค่ไหน
ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”
.
“ฉันทำความสุขหล่นหายไปตอนไหน”
.
“ความหมายของการมีชีวิต
อยู่ต่อคืออะไรกัน”
.
นั่นคือสิ่งที่จิตแพทย์ ซูซูกิ ยูสึเกะ
ได้ยินซ้ำๆ เมื่อให้คำปรึกษา
แก่ผู้คนที่ใช้ชีวิต โดยแบก
ความทุกข์ติดตัวราวกับ
ถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่
เพื่อคนอื่นไม่ใช่ตัวเอง
.
.
ความทุกข์ที่ชื่อความ
“ทรมานในการมีชีวิต”
คนที่ภายนอกดูใช้ชีวิตปกติดี
แต่จริงๆแล้วกลับต้องพยายาม
ปกปิดความทรมานในการมีชีวิต
เพื่อให้ทนอยู่ได้ไปวันๆนั้นมีเยอะ
.
คนหนุ่มสาวที่เป็นทุกข์
เพราะไม่อาจเห็นคุณค่าในตัวเอง
เหมือนถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิต
และมีอารมณ์ความรู้สึกเพื่อคนอื่น
ไม่ใช่เพื่อตัวเอง และกำลังเจ็บปวด
แสนสาหัสกับความทรมาน
ที่มองไม่เห็นทางหลุดพ้น
.
ยิ่งสังคมอยู่ดีกินดี
มนุษย์ก็ยิ่งมองไม่เห็น
“ความหมายของการมีชีวิต”
การยอมรับเรื่องราวของ
ตัวเองนั้นเป็นเรื่องเดียวกับ
การเห็นคุณค่าในตัวเอง
หากไม่สามารถพึงพอใจ
หรือเห็นคุณค่าในชีวิต
ของตัวเองในแบบที่เป็นอยู่ได้
เราก็ต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎ
และระบบคุณค่าของคนอื่น
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
.
“ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอ
ที่จะอยู่อย่างอดทน”
และอาจกำลังใช้ชีวิต
โดยแบกเอาความรู้สึกอย่าง
“เราต้องอดทนตลอด”
“ใช้ชีวิตในแบบของ
ตัวเองไม่ได้เลย” หรือ
“มีแต่เราที่เสียเปรียบทุกที”
อยู่ก็เป็นได้
.
คนส่วนใหญ่ทำตามกฎที่
คนอื่นและสังคมกฎหนด
ให้ความสำคัญกับมันมากกว่า
กฎของตัวเอง และพยายาม
อดทนกับมันมากเกินไป
.
เราถูกยัดเยียดกฎและ
ระบบคุณค่าที่คนอื่นกำหนด
และบางครั้ง “สิ่งที่เป็นตัวตนของเรา”
กับ “วิถีชีวิตในแบบของเรา”
ก็ไม่ได้ยอมรับ จนต้องฝืนใจทน
กับเรื่องต่างๆ ทั้งที่ร่างกาย
และจิตใจทรมานจนแทบไม่ไหว
.
ในความเป็นจริงมีคนมากมาย
พยายามทำตัวให้สอดคล้องกับ
กฎและระบบคุณค่าของคนอื่น
มากเกินไป จนไม่รู้ตัวว่า
ตัวเองกำลังอดทนอยู่
.
การหลุดพ้นจากกฎ
และระบบคุณค่าของ
คนอื่นและสังคม และนำ
“ชีวิตในแบบของตัวเอง”
ตั้งอยู่ตั้งอยู่บนฐานของกฎ
และสังคมของตัวเอง
เราต้องหันมาทบทวน
รูปแบบความสัมพันธ์
กับคนอื่นใหม่ ตราบที่เรายังมี
ชีวิตอยู่ในสังคม เราต้องเข้าไป
เกี่ยวข้องมีปฏิสัมพันธ์กับ
คนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ความสัมพันธ์กับคนอื่น
จะเป็นที่น่าพอใจได้
ต้องมีความสงบและ
ความเท่าเทียมกัน
ความสัมพันธ์ที่น่าพอใจ
เราจะไม่ได้ถูกยัดเยียด
ระบบคุณให้อยู่ฝ่ายเดียว
และไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
.
ความสัมพันธ์ที่ไม่น่าพอใจ
เราจะถูกผูกมัดด้วยกฎของคนอื่น
ถูกช่วงชิงเวลากับพลังงานชีวิต
ของคุณไปอย่างต่อเนื่อง
.
การทบทวนรูปแบบ
ความสัมพันธ์กับคนอื่น
และกฎต่างๆจะเปลี่ยนแปลง
ชีวิตเราอย่างมาก
.
.
โลกของเราแบ่งออกเป็น
สองส่วนใหญ่คือ
“พื้นที่ที่เราต้องปกป้อง” และ
“พื้นที่ที่คนอื่นต้องปกป้อง”
มนุษย์ไม่อาจมีชีวิตอยู่ด้วย
ตัวคนเดียวได้ จึงเป็นธรรมดา
ที่จะได้รับอิทธิพลจากคนอื่น
หรือต้องไปขอความช่วยเหลือ
จากคนอื่น ถึงอย่างนั้นก็ต้อง
ไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกล้ำพื้นที่
ของเราจนเกินความจำเป็น
และห้ามผลักภาระหรือสิทธิ
ในการควบคุมตัวเองไปให้คนอื่น
.
การถูกรุกล้ำพื้นที่ของตัวเอง
และการรุกล้ำพื้นที่ของ
คนอื่นมักมีสาเหตุ คือ
“เส้นแบ่งระหว่างเรากับคนอื่น”
ไม่ชัดเจน เส้นแบ่งนี้ไม่ใช่
มีอยู่เพื่อปฏิเสธคนอื่น
แต่มันเป็นสิ่งที่มีความยืดหยุ่น
และมีความสามารถในการปรับตัว
เปรียบเหมือนกันภูมิคุ้มกัน
ของร่างกายเรา
.
การมองเห็นเส้นแบ่ง
ระหว่างตัวเรากับคนอื่น
และพื้นที่ที่เราต้องปกป้อง
ได้อย่างชัดเจน ยังช่วยป้องกัน
ไม่ให้เราเผลอไปล้ำเส้น
หรือรุกล้ำพื้นที่ของคนอื่น
ตลอดจนป้องกันไม่ให้
เผลอเข้าไปเอาสิ่งที่เป็น
ความรับผิดชอบคนอื่น
มาแบกรับไว้เองด้วย
.
.
การปกป้องผลประโยชน์
และศักดิ์ศรีของตัวเอง
บางครั้งก็ต้องตอบ “ปฏิเสธ”
ว่าไม่ให้ชัดเจน
การพูดคำว่า No
ในระดับที่ทำได้โดยไม่ฝืน
จนเกินไปจะช่วยลดภาระ
ทางจิตใจไปได้มาก
.
ขั้นตอนเพื่อหลีกเลี่ยงกับ
การรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวได้
• ปรึกษาบุคคลที่สาม
ต้องเป็นบุคคลที่คุณไว้ใจ
เป็นคนที่น่าจะให้ความเห็น
อย่างตรงไปตรงมาและเป็นกลาง
• พยายามแสดงความรู้สึกออกไป
เลือกจังหวะในการพูด
ใช้คำพูดที่แสดงถึง
ความขอบคุณและใสใจ
กลั่นกรองสิ่งที่อยากพูด
และรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย
• จัดอยู่ในกล่อง “No”
คนที่จัดอยู่ในกล่องคือ
คนที่ล้ำเส้นคุณต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งที่คุณแสดงความรู้สึกออกไปแล้ว
คนที่ไม่ควรเข้าไปสุงสิงด้วย
คุณไม่จำเป็นต้องคิดว่า น่าจะ
ปรับความสัมพันธ์นี้ให้ดีขึ้น
.
.
การทบทวนกฎหรือ
สภาพแวดล้อมของ
ความสัมพันธ์กับคนอื่น
ในที่ทำงานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ในการใช้ชีวิตให้มีความสุข
ในแบบของตัวเองที่ไม่ต้อง
อดทนเกินความจำเป็น
.
ความสัมพันธ์กับคนอื่น
สภาพแวดล้อมหรือ
กฎของที่ทำงานในปัจจุบัน
มีสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึก
ไม่พอใจหรือขุ่นมัว
สิ่งที่ควรทำคือ ลองทบทวน
มันอีกครั้ง และเริ่มฝึกปฏิเสธ
ความสัมพันธ์ หรือกฎ
ที่ไม่น่าพอใจทีนิดในใจ
.
หากทบทวนแล้วพบว่า
ไม่ว่าพยายามแค่ไหน
ไม่น่าจะปกป้องเส้นแบ่ง
หรือพื้นที่ของตัวเองได้
ควรพิจารณาถึงทางเลือก
ในการลาออกหรือ
เปลี่ยนงานเสียแต่เนิ่นๆ
.
ความอดทนคือความดีงาม
เป็นแค่กฎหรือระบบคุณค่า
ที่คนเห็นแก่ตัวตั้งขึ้น
เพื่อให้คนอื่นต้องอดทนเท่านั้น
การใช้ชีวิตในสังคม
ให้ได้อย่างราบรื่นจำเป็น
ต้องมีทักษะที่ชื่อว่า
ความอดทนด้วย
.
ความอดทนเป็นทักษะที่
ควรใช้ก็ต่อเมื่อมันเป็นการ
อดทนต่อความยากลำบาก
ระยะสั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดี
ในระยะยาวเท่านั้น
.
.
คนที่เอาชีวิตที่ได้ทำตาม
กฎของตัวเองคืนมาได้เพิ่มขึ้น
แค่คนเดียวก็ยังดี ต้องรู้ว่า
เส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับคนอื่น
และพื้นที่ที่ตัวเองปกป้องอยู่ตรงไหน
ต้องรู้เท่าทันกฎหรือระบบคุณค่า
ที่สังคมหรือคนอื่นยัดเยียดให้
.
ถอยห่างจากคนที่ล้ำเส้น
เป็นประจำหรือคนที่ชอบทำ
การแลกเปลี่ยนแบบ
ไม่เป็นธรรมให้มากที่สุด
.
เราต้องเคารพเส้นแบ่งและ
พื้นที่ของกันและกัน
รวมถึงต้องพยามยาม
รักษาความสัมพันธ์
ให้เป็นไปอย่างเท่าเทียม
.
ชีวิตที่ “อยู่ง่าย” ของแท้
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ
การแข่งขันหรือ
ความสามารถ
คุณค่าของมนุษย์
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชัยชนะหรือ
การเป็นที่ยอมรับของคนอื่น
.
.
จำเป็นต้องมี “ก้าวแรก” ที่
“ถึงปฏิเสธก็ไม่เป็นไร”
และเพื่อให้สามารถ
ย่างก้าวแรกออกไปได้
เราจำเป็นต้องหา
คนที่เชื่อใจได้ให้เจอ
เพราะต่อให้รวบรวม
ความกล้าจนพูดปฏิเสธ
ออกไปได้ ถ้าผลไม่เป็นอย่าง
ที่คิด ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า
เราจะยิ่งกลัวการพูดปฏิเสธหนักขึ้น
ถ้าเป็นไปได้ช่วงแรก
ควรเริ่มสั่งสมประสบการณ์
โดยพูดปฏิเสธกับคนที่เชื่อว่า
“ถึงจะปฏิเสธ แต่ถ้าเป็นคนนี้
ก็น่าจะเข้าใจเรา”
.
เราอยู่ในสังคมที่ยึดว่า
“การใช้ชีวิตให้เต็มที่”
“การมีเพื่อนเยอะ” เป็นสิ่งที่ดี
มันเป็นแค่กฎหรือระบบคุณค่า
ที่ใครก็ไม่รู้สร้างขึ้นเท่านั้น
เราไม่จำเป็นต้องอายหรือกลัว
.
แม้การไม่มีเพื่อนที่เป็นมนุษย์
หรือหาคนที่เชื่อใจได้จริงๆไม่เจอ
ถ้าหา “อะไรสักอย่างที่ทำให้
รู้สึกเชื่อมโยงกับโลก” ให้ใช้มัน
เป็นบันไดไปสู่ความรู้สึกว่า
“แค่เราเป็นเราก็พอ”
จนมีความกล้าพอ
ที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี
สิ่งที่ไม่เหมาะสมกับ
ตัวเองเท่านั้นก็พอ
.
.
เรียนรู้ “วิธีหยุดพัก”
ที่จะนำตัวเองกลับคืนมา
พอลองได้หยุดพักสักครั้ง
คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่า
“ที่ผ่านมาจิตใจเราบอบช้ำ
โดยไม่รู้ตัวมาตลอด”
.
มนุษย์ได้รับแรงกระตุ้น
มากมายจากสิ่งที่รายล้อมรอบตัว
การระบุให้ชัดเจนว่า
“อะไรไม่เหมาะกับเรา” หรือ
“เราเจ็บปวดกับอะไร”
แต่พอร่างกายได้ออกห่างจาก
สภาพแวดล้อมที่เคยชิน
และหันมาลองทำความเข้าใจที่ทำงาน
และสภาพจิตใจของตัวเอง
ก็จะรู้ว่าสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ
และสูบพลังชีวิตไปทุกวันคืออะไร
เมื่อรู้ผลลัพธ์แล้ว คนส่วนใหญ่
จะไม่กลับไปพยายาม
แบบเดียวกับเมื่อก่อนอีก
.
การหาเวลาที่ว่างจริงๆ
จะเป็นบันไดไปสู่การ
สร้างทักษะในการรับรู้
“ความสบายใจ” ของร่างกาย
และช่วยให้คุณ “หยุดพัก”
ได้อย่างชำนาญขึ้นด้วย
ที่สำคัญการเชื่อมั่นใน
ความรู้สึกของตัวเองจะ
ช่วยเพิ่มตัวเลือกของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกใน
สภาพแวดล้อมหรือความสัมพันธ์
และเป็นขุมพลังอันยิ่งใหญ่
สำหรับการใช้ชีวิต
ด้วยเรื่องราวของตัวเอง
.
.
เพื่อชีวิตที่ปลอดโปร่งสบายใจ
เลิกฝืนทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแย่
เลิกเดินตามความคาดหวังของคนอื่น
และหันมาใช้เวลาในแต่ละวัน
เพื่อตัวเองจริงๆสักที