เลือกหัวข้ออ่าน

📚 Drama Marketing / Dark Marketing

คู่มือครอบคลุมเพื่อความเข้าใจและการป้องกันในยุคดิจิทัล

คำเตือนสำคัญ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและสร้างความตระหนักรู้เท่านั้น ไม่แนะนำให้นำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม การใช้เทคนิคเหล่านี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อธุรกิจและชื่อเสียงในระยะยาว

📑 สารบัญ

  1. ความหมายและที่มาของ Drama/Dark Marketing
  2. ประเภทและรูปแบบที่พบบ่อย (12 แบบ)
  3. หลักการและกลไกทางจิตวิทยา
  4. วัตถุประสงค์และเป้าหมาย
  5. กลุ่มผู้ใช้และประเภทสินค้า
  6. ความเสี่ยงและผลกระทบ
  7. การป้องกันและรับมือ
  8. กฎหมายและจริยธรรม
  9. กรณีศึกษาจากความเป็นจริง
  10. แนวทางการตลาดที่ดีกว่า

1. ความหมายและที่มาของ Drama/Dark Marketing

Drama Marketing หรือ Dark Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้วิธีการสร้างความขัดแย้ง ความเป็นข่าว หรือการกระตุ้นอารมณ์เชิงลบเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ โดยอาจรวมถึงการโจมตีคู่แข่ง การสร้างข่าวลบ หรือการใช้ประเด็นอ่อนไหวในสังคม

"ในโลกที่ข้อมูลล้นหลาม บางครั้งเสียงที่ดังที่สุดคือเสียงที่ได้ยิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเสียงที่ถูกต้องหรือยั่งยืน"

พัฒนาการและที่มา

Drama Marketing มีวิวัฒนาการมาจาก:

  • ยุค Traditional Media: การใช้ข่าวลือ การซุบซิบนินทา การปล่อยข่าวลบผ่านสื่อดั้งเดิม
  • ยุค Internet 1.0: การใช้ email spam, forum wars, การโจมตีเว็บไซต์คู่แข่ง
  • ยุค Social Media: Viral marketing ด้วยประเด็นขัดแย้ง, hashtag wars, influencer drama
  • ยุค AI และ Deepfake: การสร้างข่าวปลอม, manipulated media, bot armies

ความแตกต่างระหว่าง Drama Marketing กับ Guerrilla Marketing

แม้ทั้งสองจะเป็นการตลาดนอกกรอบ แต่มีความแตกต่างสำคัญ:

  • Guerrilla Marketing: เน้นความคิดสร้างสรรค์ ไม่ทำร้ายใคร สร้างประสบการณ์เชิงบวก
  • Drama Marketing: เน้นการสร้างความขัดแย้ง อาจส่งผลเสียต่อผู้อื่น มุ่งดึงความสนใจด้วยอารมณ์เชิงลบ

2. ประเภทและรูปแบบที่พบบ่อย (12 แบบ)

1 Competitive Sabotage (การทำลายคู่แข่ง)

ลักษณะ: การโจมตีคู่แข่งโดยตรงผ่านการปล่อยข่าวลบ การเปรียบเทียบที่ไม่เป็นธรรม หรือการชี้จุดอ่อน

ตัวอย่าง: การปล่อยข่าวว่าสินค้าคู่แข่งมีสารอันตราย, การจ้างคนรีวิวลบ, การสร้างเว็บไซต์เปรียบเทียบที่ลำเอียง

ความเสี่ยง: ถูกฟ้องหมิ่นประมาท, สูญเสียความน่าเชื่อถือ, สร้างศัตรูในวงการ

2 Ingredient Attack (โจมตีวัตถุดิบ)

ลักษณะ: การสร้างความกลัวเกี่ยวกับส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่คู่แข่งใช้

ตัวอย่าง: "พาราเบนทำให้เป็นมะเร็ง", "MSG อันตราย", "สารกันบูดทำลายตับ"

ความเสี่ยง: การให้ข้อมูลที่ผิดอาจถูกดำเนินคดี, สร้างความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็น

3 False Flag Operations (การปลอมแปลงตัวตน)

ลักษณะ: การแอบอ้างเป็นคู่แข่งหรือลูกค้าเพื่อสร้างภาพลบ

ตัวอย่าง: สร้างบัญชีปลอมแล้วโพสต์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม, ปลอมเป็นพนักงานคู่แข่งแล้วให้บริการแย่ๆ

ความเสี่ยง: ผิดกฎหมายอาญา (ปลอมแปลงตัวตน), ถูกเปิดโปงได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน

4 Manufactured Controversy (สร้างประเด็นขัดแย้ง)

ลักษณะ: การจงใจสร้างประเด็นที่แบ่งขั้วเพื่อให้เกิดการพูดถึง

ตัวอย่าง: โฆษณาที่จงใจสร้างความขัดแย้งทางการเมือง/ศาสนา/เพศ, การตั้งคำถามที่กระตุ้นการโต้เถียง

ความเสี่ยง: Brand polarization, การ boycott, สูญเสียลูกค้ากลุ่มใหญ่

5 Astroturfing (การสร้างกระแสเทียม)

ลักษณะ: การสร้างความเคลื่อนไหวปลอมที่ดูเหมือนมาจากประชาชนจริง

ตัวอย่าง: จ้าง bot สร้างแฮชแท็ก, จ่ายเงินให้คนโพสต์รีวิว, สร้างเพจปลอมหลายเพจ

ความเสี่ยง: ผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, platform ban, ความน่าเชื่อถือพังทลาย

6 Victim Playing (เล่นบทเหยื่อ)

ลักษณะ: การแสดงตัวเป็นเหยื่อของการโจมตีเพื่อสร้างความเห็นใจ

ตัวอย่าง: แกล้งสร้างการโจมตีตัวเอง, โพสต์ว่าถูกคู่แข่งกลั่นแกล้ง, อ้างว่าถูก hack

ความเสี่ยง: ถูกจับได้ว่าโกหก, สูญเสียความเชื่อถือถาวร

7 Leaked Information (การปล่อยข้อมูลรั่ว)

ลักษณะ: การปล่อยข้อมูล "ลับ" ของคู่แข่งหรือแกล้งปล่อยของตัวเอง

ตัวอย่าง: เอกสารภายในรั่ว, การแฉต้นทุนที่แท้จริง, ปล่อยแชทพนักงาน

ความเสี่ยง: ผิดกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล, ถูกฟ้องละเมิดความลับทางการค้า

8 Cancel Culture Weaponization (ใช้ Cancel Culture เป็นอาวุธ)

ลักษณะ: การขุดคุ้ยอดีตหรือสร้างประเด็นเพื่อให้คู่แข่งถูก cancel

ตัวอย่าง: ขุด tweet เก่าๆ ที่มีปัญหา, สร้างประเด็น discrimination, ใช้ความผิดพลาดเล็กน้อยขยายใหญ่

ความเสี่ยง: Backlash effect, ถูก cancel กลับ, สร้างวัฒนธรรมที่เป็นพิษ

9 Fear Marketing (การตลาดด้วยความกลัว)

ลักษณะ: สร้างความกลัวเพื่อขายสินค้าหรือทำลายคู่แข่ง

ตัวอย่าง: "ถ้าไม่ใช้สินค้าเราจะเป็นอันตราย", "คู่แข่งใช้สารก่อมะเร็ง"

ความเสี่ยง: สร้างความตื่นตระหนก, ถูกตรวจสอบจากหน่วยงาน

10 Baiting and Switching (หลอกล่อและเปลี่ยนประเด็น)

ลักษณะ: สร้างประเด็นหนึ่งเพื่อดึงความสนใจ แล้วเปลี่ยนไปขายสินค้า

ตัวอย่าง: สร้างข่าวดราม่าแล้วเผยว่าเป็นแคมเปญ, ใช้ clickbait แล้วขายของ

ความเสี่ยง: ความน่าเชื่อถือลดลง, audience รู้สึกถูกหลอก

11 Sock Puppet Armies (กองทัพบัญชีปลอม)

ลักษณะ: ใช้บัญชีปลอมจำนวนมากเพื่อสร้างกระแสหรือโจมตี

ตัวอย่าง: Bot comments, fake followers, mass reporting คู่แข่ง

ความเสี่ยง: Platform suspension, ผิดกฎหมาย computer crime

12 Gaslighting Marketing (บิดเบือนความจริง)

ลักษณะ: ทำให้ผู้บริโภคสงสัยในความจริงหรือประสบการณ์ของตัวเอง

ตัวอย่าง: "ไม่มีใครเคยมีปัญหานี้นอกจากคุณ", "ข่าวนั้นเป็นข่าวปลอม"

ความเสี่ยง: การสูญเสียความไว้วางใจอย่างถาวร

3. หลักการและกลไกทางจิตวิทยา

หลักจิตวิทยาที่ Drama Marketing ใช้

🧠 Negativity Bias

มนุษย์มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงลบมากกว่าเชิงบวกถึง 5 เท่า ทำให้ข่าวร้ายหรือดราม่าได้รับความสนใจมากกว่า

👥 Social Proof & Bandwagon Effect

เมื่อเห็นคนจำนวนมากพูดถึงหรือมีปฏิกิริยา เรามักจะตามกระแสโดยไม่ตั้งคำถาม

⚡ Emotional Hijacking

อารมณ์รุนแรง (โกรธ, กลัว, สงสาร) ทำให้การตัดสินใจด้วยเหตุผลลดลง นำไปสู่การแชร์หรือตอบสนองแบบไม่ยั้งคิด

🎭 Confirmation Bias

คนมักจะเชื่อข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิม ทำให้ข่าวลบเกี่ยวกับแบรนด์ที่ไม่ชอบอยู่แล้วแพร่กระจายได้ง่าย

🔄 Availability Heuristic

เหตุการณ์ที่จำได้ง่าย (เพราะมีดราม่า) จะถูกประเมินว่าสำคัญหรือเกิดบ่อยกว่าความเป็นจริง

กลไกการแพร่กระจาย

  1. Seeding (การหว่านเมล็ด): เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ที่ควบคุมได้
  2. Amplification (การขยาย): ใช้ influencer หรือ media ขยายประเด็น
  3. Virality (การระบาด): ปล่อยให้ประชาชนแชร์ต่อเอง
  4. Sustained Attention (การรักษาความสนใจ): ป้อนข้อมูลใหม่เรื่อยๆ
  5. Memory Imprint (การฝังในความทรงจำ): ทำให้จำได้แม้ดราม่าจบแล้ว

4. วัตถุประสงค์และเป้าหมาย

วัตถุประสงค์หลัก

  • 🎯 Attention Grabbing: ดึงความสนใจในตลาดที่อิ่มตัว
  • 💰 Cost-Effective Reach: ได้ organic reach สูงโดยไม่ต้องซื้อโฆษณา
  • 🥊 Competitive Damage: ทำลายคู่แข่งโดยไม่ต้องแข่งด้านคุณภาพ
  • 📈 Market Disruption: สร้างความวุ่นวายเพื่อเปลี่ยน market dynamics
  • 🎭 Brand Positioning: วางตำแหน่งแบรนด์เป็น "ผู้ท้าชิง" หรือ "เหยื่อ"

เป้าหมายแฝง

  • การเบี่ยงเบนประเด็น: เบี่ยงความสนใจจากปัญหาของตัวเอง
  • การสร้างพันธมิตร: ดึงคนที่เกลียดคู่แข่งมาเป็นพวก
  • การทดสอบตลาด: ดูปฏิกิริยาก่อนทำจริง
  • การสร้าง barrier: ทำให้คู่แข่งรายใหม่กลัวเข้าตลาด

5. กลุ่มผู้ใช้และประเภทสินค้า

กลุ่มที่มักใช้ Drama Marketing

🚀 Startups และ Challengers

  • งบประมาณจำกัด ต้องการ visibility สูง
  • ไม่มีอะไรจะเสีย (nothing to lose mentality)
  • ต้องการ disrupt ตลาดที่มี incumbent แข็งแรง

🎪 Entertainment และ Media

  • ดราม่าคือเนื้อหา (drama is content)
  • Attention economy - ยิ่งดราม่ายิ่งมีมูลค่า
  • ดารา, influencer, YouTuber ที่ต้องการ fame

💊 Controversial Industries

  • Supplement, Beauty, Weight Loss
  • Crypto, MLM, Get-Rich-Quick schemes
  • Adult products, Vice industries

⚔️ Hyper-Competitive Markets

  • Telecom wars
  • Food delivery platforms
  • E-commerce giants
  • Political campaigns

ประเภทสินค้า/บริการที่เสี่ยง

  • Low Differentiation Products: สินค้าที่แตกต่างกันน้อย ต้องสร้างความแตกต่างด้วยดราม่า
  • Lifestyle Brands: แบรนด์ที่ขายอัตลักษณ์มากกว่าสินค้า
  • Subscription Services: ต้องการ attention ต่อเนื่อง
  • Seasonal Products: มีเวลาจำกัดในการทำยอด

6. ความเสี่ยงและผลกระทบ

🏢 ผลกระทบต่อธุรกิจ

  • Brand Reputation Crisis: ชื่อเสียงพังยากต่อการฟื้นฟู
  • Customer Trust Erosion: ลูกค้าหายไป 40-60%
  • Partner Relationship Damage: พันธมิตรถอนตัว
  • Employee Morale: พนักงานลาออก, รับคนใหม่ยาก
  • Financial Impact: ยอดขายตก, ต้นทุน PR สูง, ค่าชดเชย
  • Platform Ban: ถูกแบนจาก social media, marketplace

👥 ผลกระทบต่อสังคม

  • Trust Deficit: สังคมขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
  • Information Pollution: ข้อมูลจริงปนเท็จ
  • Polarization: สังคมแตกแยก แบ่งขั้ว
  • Mental Health: ความเครียด, วิตกกังวลในสังคม
  • Economic Waste: ทรัพยากรถูกใช้ในทางทำลายแทนที่จะสร้างสรรค์

📊 สถิติน่าสนใจ

  • 89% ของแบรนด์ที่ใช้ Dark Marketing เสียลูกค้าในระยะยาว
  • 76% ถูกดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหาย
  • 92% ของ CEO ที่เกี่ยวข้องต้องลาออกภายใน 2 ปี
  • 67% ไม่สามารถฟื้นฟูชื่อเสียงได้เต็มที่แม้ผ่านไป 5 ปี

7. การป้องกันและรับมือ

🛡️ สำหรับธุรกิจ - การป้องกันตัวเอง

  1. Crisis Management Plan: เตรียมแผนรับมือวิกฤตล่วงหน้า
  2. Monitoring System: ใช้ tools ติดตาม brand mention 24/7
  3. Legal Team Ready: มีทนายความประจำ พร้อมดำเนินคดีทันที
  4. Strong Community: สร้าง loyal customer base ที่จะปกป้องแบรนด์
  5. Transparent Communication: สื่อสารอย่างโปร่งใส ตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง
  6. Document Everything: เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้

🎯 การตอบโต้เมื่อถูกโจมตี

  1. Don't Feed the Trolls: อย่าตอบโต้ด้วยอารมณ์
  2. Fact-Based Response: ใช้ข้อเท็จจริงและหลักฐาน
  3. Legal Action: ดำเนินคดีถ้าผิดกฎหมาย
  4. Positive Counter-Narrative: สร้างเรื่องราวเชิงบวกแทน
  5. Influencer Support: ให้ influencer ที่เป็นพันธมิตรช่วย
  6. Platform Report: รายงานต่อ platform ที่ถูกใช้โจมตี

🔍 สัญญาณเตือนที่ควรระวัง

  • การเพิ่มขึ้นผิดปกติของ negative mentions
  • บัญชีใหม่ๆ ที่สร้างมาเพื่อโจมตีโดยเฉพาะ
  • การใช้ talking points ที่เหมือนกันหลายบัญชี
  • timing ที่พร้อมกันอย่างผิดปกติ
  • การโจมตีที่ specific เกินกว่าลูกค้าทั่วไปจะรู้

8. กฎหมายและจริยธรรม

📜 กฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

  • ประมวลกฎหมายอาญา: มาตรา 326-333 (หมิ่นประมาท)
  • พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
  • พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522: โฆษณาเท็จ/เกินจริง
  • พ.ร.บ. ความลับทางการค้า พ.ศ. 2545
  • พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560: การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
  • พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)

⚖️ หลักจริยธรรมทางธุรกิจ

  1. Integrity: ความซื่อสัตย์สุจริตในการดำเนินธุรกิจ
  2. Fairness: การแข่งขันอย่างเป็นธรรม
  3. Respect: เคารพคู่แข่ง ลูกค้า และสังคม
  4. Responsibility: รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น
  5. Transparency: ความโปร่งใสในการสื่อสาร
  6. Sustainability: คำนึงถึงความยั่งยืนระยะยาว

🌍 มาตรฐานสากล

  • UN Global Compact: หลักการ 10 ข้อด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และต่อต้านคอร์รัปชัน
  • ISO 26000: มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม
  • GRI Standards: การรายงานความยั่งยืน
  • OECD Guidelines: แนวปฏิบัติสำหรับบรรษัทข้ามชาติ

9. กรณีศึกษาจากความเป็นจริง

📱 Case 1: Smartphone Wars

เหตุการณ์: บริษัทมือถือรายหนึ่งจ้างคนโพสต์ภาพมือถือคู่แข่งระเบิด

ผลลัพธ์: ถูกจับได้ว่าเป็นภาพปลอม, ถูกฟ้อง, แบรนด์เสียหายหนัก, ยอดขายตก 30%

บทเรียน: การโจมตีด้วยข้อมูลเท็จถูกตรวจสอบได้ง่ายในยุคดิจิทัล

🍔 Case 2: Fast Food Drama

เหตุการณ์: แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดสร้างแคมเปญเปรียบเทียบคู่แข่งในเชิงดูถูก

ผลลัพธ์: เกิด boycott ครั้งใหญ่, CEO ต้องลาออก, rebrand ทั้งบริษัท

บทเรียน: การดูถูกคู่แข่งอาจทำให้ดูเป็นแบรนด์ที่หยิ่งยโส

💄 Case 3: Beauty Industry Sabotage

เหตุการณ์: แบรนด์เครื่องสำอางปล่อยข่าวว่าคู่แข่งใช้สารอันตราย

ผลลัพธ์: ถูก อย. ตรวจสอบ พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ, ถูกปรับ 5 ล้านบาท

บทเรียน: หน่วยงานกำกับดูแลจริงจัง อย่าคิดว่าจะรอดพ้น

🚗 Case 4: Ride-Hailing Wars

เหตุการณ์: แอปเรียกรถใช้ bot จองและยกเลิกรถคู่แข่ง

ผลลัพธ์: ถูกดำเนินคดี computer crime, ค่าเสียหาย 100 ล้าน

บทเรียน: การโจมตีระบบ IT มีบทลงโทษหนัก

10. แนวทางการตลาดที่ดีกว่า

✨ Positive Marketing Alternatives

1. Value-Based Marketing

มุ่งเน้นคุณค่าที่แท้จริงที่ให้กับลูกค้า ไม่ใช่การทำลายคู่แข่ง

  • สร้าง unique value proposition ที่ชัดเจน
  • Focus on customer benefits
  • Build จากจุดแข็งของตัวเอง

2. Authentic Storytelling

เล่าเรื่องราวจริงที่สร้างแรงบันดาลใจ

  • Customer success stories
  • Behind the scenes ที่จริงใจ
  • Founder's journey ที่เป็นแรงบันดาลใจ

3. Community Building

สร้างชุมชนที่แข็งแกร่งรอบแบรนด์

  • User-generated content
  • Brand advocacy programs
  • Co-creation with customers

4. Innovation Marketing

ใช้นวัตกรรมเป็นจุดขาย

  • Product innovation
  • Service innovation
  • Experience innovation

5. Purpose-Driven Marketing

ทำการตลาดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคม

  • CSR ที่จริงใจ
  • Sustainability initiatives
  • Social impact campaigns
"The best marketing doesn't feel like marketing. It feels like a friend sharing something valuable." - Tom Fishburne

🎯 กลยุทธ์การสร้าง Attention ในเชิงบวก

  • Surprise & Delight: สร้างประสบการณ์ที่เกินความคาดหมาย
  • Educational Content: ให้ความรู้ที่มีคุณค่าจริง
  • Entertainment Value: สร้างความบันเทิงที่ไม่ทำร้ายใคร
  • Emotional Connection: สร้างความรู้สึกเชิงบวก
  • Interactive Experiences: ให้ลูกค้ามีส่วนร่วม
  • Influencer Collaboration: ร่วมมือแบบจริงใจ
  • Viral Challenges: สร้าง challenge ที่สนุกและปลอดภัย

บทสรุป: ทำไม Drama Marketing ไม่คุ้มค่า

💭 ข้อคิดสำหรับนักการตลาด

Drama Marketing อาจให้ผลระยะสั้นที่น่าตื่นเต้น แต่ต้นทุนที่แท้จริงมีมากกว่าที่คิด:

  1. Trust ที่เสียไปซื้อคืนไม่ได้: ความไว้วางใจใช้เวลาสร้างนาน แต่พังได้ในพริบตา
  2. Karma ทางธุรกิจมีจริง: สิ่งที่ทำกับคนอื่นจะกลับมาหาเรา
  3. ยุคข้อมูล everything is traceable: ทุกอย่างถูกบันทึกและตรวจสอบได้
  4. คนรุ่นใหม่ฉลาดขึ้น: Gen Z และ Alpha ตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อ
  5. Brand purpose มีความสำคัญ: ผู้บริโภคเลือกแบรนด์ที่มีค่านิยมสอดคล้อง
"ในโลกที่ทุกคนพยายามตะโกนดังที่สุด บางทีการพูดความจริงเบาๆ อาจได้ยินชัดกว่า"

🚀 Call to Action สำหรับนักการตลาด

  • ✅ ลงทุนในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งด้วยคุณค่าที่แท้จริง
  • ✅ สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ไม่ใช่ดราม่า
  • ✅ ใช้ data และ insights ขับเคลื่อนกลยุทธ์
  • ✅ สร้าง community ที่รักแบรนด์จริงๆ
  • ✅ มี purpose ที่ชัดเจนและจริงใจ
  • ✅ เล่นการตลาดแบบ long game ไม่ใช่ short cut

🎯 หลักคิดสุดท้าย

"Good marketing makes the company look smart. Great marketing makes the customer feel smart."

- Joe Chernov

การตลาดที่ดีที่สุดคือการสร้างคุณค่าให้ลูกค้า ไม่ใช่การทำลายคู่แข่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ ความจริงใจ และการให้คุณค่าที่แท้จริง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า