ไม่ใช่แค่กับหลักการตลาดเท่านั้น แต่ในศาสตร์ของการเล่าเรื่องเองก็มีหลัก 4P อยู่ด้วยเช่นกันที่เป็นสูตรช่วยให้เราสร้างเรื่องเล่าได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดย 4P ของเรื่องเล่านั้นประกอบไปด้วย
1.People = เล่าเรื่องใคร
People หมายถึง ตัวละครเอกที่อยู่ในเรื่องเล่า โดยจะเป็นคน, สัตว์, สิ่งของ หรืออะไรก็ได้หมด ซึ่งถือว่าสำคัญมาก เพราะตัวเอกคือ จุดโฟกัสที่ผู้ฟังจะเฝ้าติดตามดูว่าน่าสนใจหรือไม่ เหมือนซีรี่ย์ หนัง หรือแม้แต่เรื่องเล่า CEO ต่าง ๆ ที่เราก็มักจะโฟกัสกันก่อนว่า “เขา” เป็นใคร ทำอาชีพอะไร น่าสนใจไหม
2.Place = เรื่องราวเกิดขึ้นที่ไหน
Place หมายถึง ฉาก สถานที่ ของเรื่องเล่านั้น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรื่องเล่าดูสมจริงมากยิ่งขึ้น และเป็นพื้นที่ให้ตัวเอกได้แสดงตัวตน ความเป็นตัวเองออกมาให้คนฟังได้เห็น
3.Plot = โครงเรื่องที่มีความขัดแย้ง
Plot หมายถึง การวางโครงเรื่องว่าเรื่องเล่านี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวละครไปทำอะไร เจอปัญหาอะไร ต่อสู้กับอะไร ชนะหรือแพ้ แล้วผลลัพธ์จะเป็นยังไง นี่คือสิ่งที่เราต้องสร้างเอาไว้ก่อน เชื่อมโยง
ผูกเรื่องราวให้กลมกล่อมก่อนจะเล่าออกไป เพราะถ้าเรื่องเล่าไม่มีความขัดแย้ง ทุกอย่างราบเรียบ ก็จะทำให้น่าเบื่อ ไม่น่าติดตาม ดึงดูดใจผู้ฟังไม่ได้
4.Purpose = วัตถุประสงค์ของเรื่องเล่า
Purpose หมายถึง การกำหนดความน่าสนใจของเรื่องเล่าว่าทำไมคนฟังต้องฟังเรื่องเล่านี้ เรื่องเล่าของเรามีประโยชน์อะไร เล่าเพื่ออะไร เพื่อให้คนฟังกลัว มีแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฯลฯ ถือเป็นส่วนสำคัญของเรื่องเล่า เพราะเรื่องเล่าจะไม่มีพลังเลย ถ้าไม่ได้บอกให้คนฟังทำอะไร รู้สึกอย่างไรหลังฟังจบ
หากวันนี้เรากำลังอยากสร้างเรื่องเล่าขึ้นมาเพื่อสื่อสาร แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีล่ะก็ ลองทำตามหลัก 4P of Storytelling นี้ดู เชื่อว่าจะช่วยทำให้เราครีเอทเรื่องเล่าได้ง่ายขึ้น จัดวางองค์ประกอบสำคัญของเรื่องเล่าได้ครบถ้วน และเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบสำคัญออกมาเป็นเรื่องเล่าที่ดึงดูดใจคนฟังได้เป็นอย่างดี