ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง การแข่งขันก็มีสูงมากขึ้น ดังนั้น คนที่อยากประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นที่จะต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้มากขึ้น ทั้งนี้ เราต่างก็รู้กันดีว่า “ทักษะความสามารถ” คือสิ่งสำคัญที่เป็นดั่งอาวุธที่จะช่วยให้เราสามารถพิชิตอุปสรรคและฝ่าฟันจนถึงเป้าหมายได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้เก่งทั้งหมดทุกทักษะ ดังนั้น การเลือกพัฒนาทักษะที่จำเป็นและมีประโยชน์ที่เหมาะกับเราและสายอาชีพของเราที่สุด จึงเป็นสิ่งที่เราควรค้นให้พบ และมุ่งต่อยอดให้เชี่ยวชาญให้ได้ ซึ่ง 4 ทักษะต่อจากนี้ คือทักษะจำเป็นที่ไม่ว่าเราจะทำอาชีพอะไร ก็สมควรอย่างยิ่งกับการพัฒนาให้มีติดตัวไว้ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทักษะเหล่านี้ก็จำเป็นและสำคัญเสมอตลอดการ
1. ทักษะด้านการตลาดออนไลน์
ย้อนกลับไปเมื่อ 10-20 ปีก่อน ทักษะนี้อาจจะยังไม่มีความสำคัญมากนัก แต่ทว่านับจากวันนี้ต่อไป ทักษะการตลาดออนไลน์ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรต้องมี เพราะโลกเราคงไม่ย้อนกลับไปสู่ยุคออฟไลน์อย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น การเรียนรู้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ การมีความสามารถในการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อการสื่อสารประชาสัมพันธ์บนโลกออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรฝึกให้มีติดตัวไว้ โดยไม่จำกัดเลยว่าเราจะอยู่ในสายสาขาอาชีพไหน
เพราะชีวิตคนเราล้วนอาศัยอยู่บนโลกออนไลน์ทั้งสิ้น ดังนั้น ยิ่งเราใช้เครื่องมือทางการตลาดออนไลน์เชี่ยวชาญเท่าไร เราก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากเท่านั้น กลับกันหากเราไม่มีความรู้ ไม่มีทักษะด้านนี้เลย เราก็จะเสียโอกาส ที่จะได้ทำงานดีๆ เสียโอกาสที่จะได้ติดต่อทำธุรกิจ หรือก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนการสู้กันในสงคราม ที่กองทัพฝ่ายตรงข้ามเป็นรถถังทั้งหมด แต่เรามีแค่ดาบกับโล่แล้วเดินเท้า ซึ่งไม่ไปไม่ได้เลยที่เราจะมีโอกาสชนะและประสบความสำเร็จได้มากกว่า
2. ทักษะด้านการเขียน
ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเป็นนักเขียน แต่หมายความว่าเราทุกคนควรมี “ทักษะการเขียนเพื่อการสื่อสาร” ที่ดี ถูกต้องเหมาะสมและครบถ้วน ลองคิดดูนะครับว่า ทุกวันนี้เราสื่อสารกันผ่านทางไหนมากที่สุด บางคนอาจบอกว่าเป็นการพูด แต่จริงๆ แล้วในระดับที่เป็นทางการ การดำเนินธุรกิจ หรือการทำงานนั้น การเขียนคือสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม ตั้งแต่เรื่องของการเขียนเมล เขียนเสนอแผน เขียนเสนอโครงการ ฯลฯ
ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยทักษะการเขียนที่ดี เพื่อที่จะนำพาเราก้าวไปสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น และในภาพกว้างของการสื่อสารเพื่อประชาสัมพันธ์ การเขียนก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการโน้มน้าวให้ผู้คน เชื่อ รัก ไว้ใจ และเห็นด้วยกับเรา ยินดีที่จะใช้บริการของเรา ซึ่งนั้นคือสิ่งที่จะวัดผลได้เลยว่า ธุรกิจหรือหน้าที่การงานของเราจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน การเขียนเพื่อการสื่อสารถูกระบุอยู่ในวิชาเรียนเบื้องต้นภาพบังครับมาตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัยและทุกสาขาวิชา
นั่นหมายความว่ามันคือทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้ ดังนั้น อย่าละเลยที่จะพัฒนาทักษะด้านนี้เด็ดขาด เพราะมันจะทำให้เราทำงานได้อย่างไม่ราบรื่น และทำให้เราเกิดความอึดอัดในการทำงาน อย่างเช่นใครหลายๆ คนที่เวลาจะส่งเมลทางการสักที ก็ต้องเสียเวลาร่างอยู่นาน และสุดท้ายก็เขียนไปแบบผิดๆ ถูกๆ ไม่เหมาะกับกาลเทศะ จนทำให้ถูกมองไม่ดี และเสียเครดิตได้ในที่สุด
3. ทักษะการพูด ขายและการเจรจาต่อรอง
เขียนเป็นแล้วก็ต้องพูดให้เป็นด้วย เพราะการพูดคือการสื่อสารเบื้องต้น ที่แม้หลายคนจะรู้สึกว่า ก็พูดปกติธรรมดากันทุกวันอยู่แล้ว จะต้องไปฝึกอะไรอีก ห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาดนะครับ เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังตัดโอกาสความสำเร็จของตัวเองทิ้งไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว เพราะการพูด การเจรจาต่อรองทางธุรกิจนั้น สำหรับคนที่พูดเป็น ขายเป็น โน้มน้าวเป็น เขาสามารถปิดดีลธุรกิจได้เป็นหลักร้อยๆ ล้านบาท ด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค
ในขณะเดียวกันกับคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นผู้นำองค์กรผู้ยิ่งใหญ่ คำพูดของพวกเขาเพียงแค่ไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้หุ้นขึ้นลงได้ดั่งใจคิด สามารถทำให้พนักงานฮึกเหิมได้ หรือห่อเหี่ยวก็ได้ พลังของคำพูดนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ใครจะจินตนาการ ดังนั้น ถ้ามีโอกาสที่จะทุ่มเวลาให้กับการพัฒนาทักษะการพูด การขาย และการเจรจาต่อรองแล้วล่ะก็ อย่ารอช้าที่จะเรียนรู้มัน เพราะไม่แน่ว่าคำพูดสำคัญๆ เพียงแค่ประโยคเดียว ก็อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปได้ตลอดกาล
4. ทักษะการบริหารจัดการเวลา
24 ชั่วโมงเท่ากัน อาชีพเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกัน แต่คนหนึ่งสามารถเลื่อนตำแหน่งและถูกโปรโมทได้ภายในระยะเวลาปีเดียว แต่อีกคนกลับทำไม่ได้แม้ว่าจะทำงานมาแล้วหลายปี สิ่งที่ทำให้คนสองคนแตกต่างกันนี้ อาจไม่ใช่แค่ความเก่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันหมายถึงการที่เขาไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญและบริหารเวลาในชีวิตได้อย่างลงตัวก็ได้ เพราะในสภาวะที่ถูกกดดันจากงานทุกทั่วสารทิศ
ใครก็ตามที่สามารถบริหารมันได้ดี ได้เสร็จทันอย่างมีคุณภาพ ใครคนนั้นจะได้แต้มต่อที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างก้าวกระโดด อธิบายง่ายๆ ให้เห็นเป็นตัวอย่างเขียน คนสองคนทำงานเหมือนกัน 10 ชิ้น คนที่บริหารเวลาได้ดีกว่าอาจทำเสร็จได้ใน 1 วัน แต่อีกคนอาจใช้เวลา 1 สัปดาห์ และถ้างาน 1 ชิ้นเท่ากับเงิน 1 ล้านบาท ลองคิดดูนะครับว่า คนๆ แรกที่บริหารเวลาได้ดีกว่า จะทำเงินได้กี่บาทจากการทำงาน 7 วัน!! นี่แหละครับคือพลังมหัศจรรย์ของการบริหารเวลา เพราะว่าเวลาคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา ดังนั้น ใครใช้เวลาได้ดีกว่า คุ้มค่ามากกว่า จัดสรรมันได้อย่างลงตัวกว่า คนนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครเก่งกว่าคนนั้นชนะ ใครเก่งกว่าคนนั้นไปถึงเส้นชัยก่อน คำกล่าวทำนองนี้ยังคงเป็นจริงเสมอไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ซึ่ง “เก่งกว่า” นั้น ก็วัดกันที่ทักษะความรู้ที่มีในตัวนั่นแหละ ว่าเราพัฒนาไปได้ถึงขั้นใด และด้วยความที่ทักษะเป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้ นั่นจึงเปิดโอกาสให้เรายังคงสามารถที่จะเป็นเจ้าของทักษะที่สำคัญสำหรับความสำเร็จในชีวิตได้เสมอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วเท่านั้นแหละว่า จะให้ความสำคัญกับทักษะสำคัญในชีวิตมากน้อยแค่ไหน จะยอมอุทิศเวลาเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญของทักษะต่างๆ ได้มากแค่ไหน โดยถ้าใครทำได้มากกว่า ทุ่มเทพัฒนาได้มากว่า เขาคนนั้นก็จะได้ครอบครองโอกาสในการคว้าความสำเร็จเอาไว้ได้มากกว่านั่นเอง