รายการคำสั่งที่จำเป็นในการใช้ AI ช่วยเขียนงานสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เพื่อช่วยให้งานเขียนมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการมากที่สุด นี่คือลิสต์ตัวอย่างคำสั่งที่ควรใช้ พร้อมตัวอย่างการนำไปใช้:
เลือกหัวข้ออ่าน
1. “Summarize” (สรุป)
ใช้คำสั่งนี้เพื่อขอสรุปเนื้อหายาวๆ ให้ออกมาเป็นประโยคสั้นๆ และเข้าใจง่าย
ตัวอย่าง: “Summarize the key points of this 2,000-word article about digital marketing trends in 2024.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้บทสรุปที่เป็นหัวข้อสำคัญจากเนื้อหาเดิม ช่วยให้นำมาใช้ในงานเขียนได้ทันที
2. “Rewrite” (เขียนใหม่)
คำสั่งนี้ใช้เมื่อเราต้องการเขียนเนื้อหาเดิมใหม่ให้มีความสดใหม่และไม่ซ้ำซาก
ตัวอย่าง: “Rewrite this paragraph about the importance of SEO in a more casual tone.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้เนื้อหาที่สื่อสารแบบเป็นกันเอง เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
3. “Expand” (ขยายความ)
เหมาะกับการขยายความคิดหรือประโยคให้มีรายละเอียดมากขึ้น
ตัวอย่าง: “Expand this point on the benefits of AI in content creation.”
ผลลัพธ์ที่ได้: เนื้อหาจะถูกขยายด้วยการเพิ่มรายละเอียดที่สำคัญ ช่วยให้บทความสมบูรณ์ขึ้น
4. “Tone adjustment” (ปรับโทนเสียง)
ใช้สำหรับปรับโทนการเขียนให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายหรือความต้องการของแบรนด์
ตัวอย่าง: “Change the tone of this text from formal to conversational.”
ผลลัพธ์ที่ได้: เนื้อหาจะถูกเขียนใหม่ในโทนที่เหมาะสม เช่น การเขียนให้เป็นกันเองมากขึ้นหากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เป็นทางการ
5. “Generate ideas” (สร้างไอเดีย)
คำสั่งนี้ช่วยให้ AI สร้างไอเดียสำหรับหัวข้อ หรือมุมมองใหม่ๆ ในการเขียน
ตัวอย่าง: “Generate 10 blog post ideas about using AI for small business marketing.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้รับไอเดียใหม่ๆ สำหรับเขียนบทความ ทำให้มีแนวทางใหม่ๆ ในการสร้าง content
6. “Outline” (สร้างโครงร่าง)
ใช้คำสั่งนี้เพื่อขอให้ AI ช่วยจัดโครงร่างหรือหัวข้อหลักๆ ของบทความที่ต้องการเขียน
ตัวอย่าง: “Outline a blog post on ‘How to use AI in content creation effectively.'”
ผลลัพธ์ที่ได้: AI จะสร้างโครงร่างให้พร้อมหัวข้อย่อยเพื่อเริ่มต้นการเขียนได้ง่ายขึ้น
7. “Add details” (เพิ่มรายละเอียด)
คำสั่งนี้เหมาะกับการขอให้ AI ช่วยเพิ่มข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน
ตัวอย่าง: “Add more details to this point on how AI improves SEO results.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้รายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อที่ต้องการ โดยที่ยังคงสอดคล้องกับเนื้อหาเดิม
8. “Compare” (เปรียบเทียบ)
คำสั่งนี้เหมาะกับการให้ AI เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือความแตกต่างระหว่างสองเรื่อง
ตัวอย่าง: “Compare the benefits of AI in content creation versus traditional content creation methods.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้รับการเปรียบเทียบอย่างละเอียดพร้อมข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี
9. “Paraphrase” (แปลงประโยค)
ใช้เมื่ออยากให้ AI เขียนเนื้อหาในสไตล์อื่นๆ โดยคงความหมายเดิมไว้
ตัวอย่าง: “Paraphrase this sentence to make it sound more persuasive.”
ผลลัพธ์ที่ได้: ประโยคจะถูกปรับให้โน้มน้าวใจมากขึ้นตามคำสั่ง
10. “Shorten” (ย่อความ)
ใช้สำหรับการลดความยาวของเนื้อหาให้สั้นลงโดยคงประเด็นสำคัญ
ตัวอย่าง: “Shorten this paragraph about the future of AI in marketing.”
ผลลัพธ์ที่ได้: จะได้ย่อหน้าใหม่ที่กระชับและยังคงสาระสำคัญเหมือนเดิม
11. “Enhance” (เสริมความ)
ใช้เมื่อเราต้องการให้เนื้อหามีความชัดเจนหรือน่าดึงดูดมากขึ้น
ตัวอย่าง: “Enhance this sentence to make it more impactful.”
ผลลัพธ์ที่ได้: ประโยคจะถูกปรับให้ชัดเจนและส่งผลต่อผู้อ่านมากขึ้น
12. “Highlight key points” (ไฮไลท์ประเด็นสำคัญ)
เหมาะกับการเน้นย้ำหัวข้อหลักที่ต้องการให้ผู้อ่านรับรู้
ตัวอย่าง: “Highlight the key takeaways from this article on AI’s impact on digital marketing.”
ผลลัพธ์ที่ได้: ข้อความสำคัญจะถูกเน้นให้เห็นชัดขึ้น ช่วยให้ผู้อ่านรับสารที่ต้องการได้เร็ว
13. “Proofread” (ตรวจทาน)
AI สามารถช่วยตรวจทานและแก้ไขไวยากรณ์หรือคำผิดได้ทันที
ตัวอย่าง: “Proofread this article to correct any grammatical errors.”
ผลลัพธ์ที่ได้: เนื้อหาจะถูกตรวจทานและแก้ไขความผิดพลาดทางไวยากรณ์อย่างแม่นยำ
14. “Tailor content” (ปรับเนื้อหาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย)
ใช้เมื่อคุณต้องการให้ AI ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
ตัวอย่าง: “Tailor this content for a younger audience interested in tech innovations.”
ผลลัพธ์ที่ได้: AI จะปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ระบุ เช่น โทนและสไตล์การเขียนจะเข้ากับคนรุ่นใหม่
การใช้คำสั่งเหล่านี้ทำให้งานเขียนเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงประเด็นมากขึ้น เหมาะสำหรับการสร้างสรรค์ content ในยุคดิจิทัล