เลือกหัวข้ออ่าน
กลยุทธ์อธิบายให้ลูกค้าเข้าใจว่าประกันสร้างความมั่นคงทางการเงินได้มากกว่าเงินฝาก
1. 💰 “เงินทวีคูณเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
เงินฝากมีมูลค่าคงที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ในขณะที่ประกันให้เงินก้อนใหญ่เมื่อเกิดความจำเป็น
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณสมชาย สมมติว่าคุณออมเงินได้เดือนละ 5,000 บาท หากฝากธนาคาร เมื่อผ่านไป 1 ปี คุณจะมีเงิน 60,000 บาท บวกดอกเบี้ยอีกเล็กน้อย ประมาณ 61,500 บาท แต่หากนำเงิน 5,000 บาทต่อเดือนมาซื้อประกันชีวิต คุณจะได้รับความคุ้มครองทันทีถึง 1-3 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนแรกที่จ่ายเบี้ย
ลูกค้าของผมคุณวิชัย อายุ 35 ปี ซื้อประกันชีวิตด้วยเบี้ย 5,000 บาทต่อเดือน ได้ความคุ้มครองชีวิต 2 ล้านบาท เพียง 3 เดือนหลังจากซื้อกรมธรรม์ เขาประสบอุบัติเหตุรถชนและเสียชีวิต ครอบครัวของเขาได้รับเงิน 2 ล้านบาท ในขณะที่เขาจ่ายเบี้ยไปเพียง 15,000 บาท นี่คือพลังของการทวีคูณเงินเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
2. 🏥 “ค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมมากกว่า”
เงินฝากอาจไม่เพียงพอสำหรับค่ารักษาโรคร้ายแรง ในขณะที่ประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองสูง
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณนภา ค่ารักษาโรคร้ายแรงในปัจจุบัน เช่น มะเร็ง หัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1-3 ล้านบาทตลอดการรักษา การออมเงินในธนาคารอาจต้องใช้เวลากว่า 10-20 ปีจึงจะมีเงินก้อนขนาดนั้น
ในขณะที่ประกันสุขภาพด้วยเบี้ยเพียง 20,000-30,000 บาทต่อปี สามารถให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้สูงถึง 1-2 ล้านบาทต่อปี ทันทีตั้งแต่กรมธรรม์มีผล
คุณสมหญิง ลูกค้าของผม วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมหลังจากทำประกันสุขภาพได้เพียง 8 เดือน ค่ารักษาทั้งหมดรวมถึงการผ่าตัดและเคมีบำบัดสูงถึง 1.2 ล้านบาท ประกันจ่ายให้ทั้งหมด ในขณะที่เธอจ่ายเบี้ยไปเพียง 25,000 บาท เงินฝากของเธอจำนวน 300,000 บาท จึงยังคงอยู่ครบสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน”
3. 🛡️ “ปกป้องรายได้ในอนาคต”
เงินฝากคือเงินที่คุณมีในอดีตและปัจจุบัน แต่ประกันปกป้องรายได้ที่คุณจะสร้างในอนาคต
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณประพจน์ ถ้าคุณอายุ 35 ปี และวางแผนทำงานไปจนถึงอายุ 60 ปี คุณยังมีรายได้ในอนาคตอีกประมาณ 25 ปี หากคุณมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 50,000 บาท นั่นหมายถึงรายได้ในอนาคตอีกกว่า 15 ล้านบาท (50,000 × 12 เดือน × 25 ปี)
เงินฝากในธนาคารไม่สามารถปกป้องรายได้ก้อนใหญ่นี้ได้ แต่ประกันชีวิตและประกันสูญเสียรายได้สามารถทำได้ ด้วยเบี้ยเพียงปีละ 30,000-50,000 บาท
คุณสมชาติ แพทย์อายุ 42 ปี ประสบอุบัติเหตุทำให้มือขวาบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถผ่าตัดได้อีก เขาสูญเสียรายได้ประมาณ 70% แต่ด้วยประกันสูญเสียรายได้ เขาได้รับเงินชดเชย 70% ของรายได้เดิมเป็นเวลา 10 ปี รวมกว่า 8 ล้านบาท ทำให้ครอบครัวยังมีความมั่นคงทางการเงินในขณะที่เขาปรับตัวกับอาชีพใหม่”
4. 📈 “ผลตอบแทนที่อาจสูงกว่าในระยะยาว”
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำกว่าเงินเฟ้อ ทำให้เงินมีค่าลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ประกันแบบสะสมทรัพย์มีผลตอบแทนที่สูงกว่า
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณธนา ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.5% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% ต่อปี นั่นหมายความว่าเงินในบัญชีเงินฝากของคุณมีค่าลดลงทุกปี
ประกันแบบสะสมทรัพย์หรือยูนิตลิงค์ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 3-5% ต่อปีในระยะยาว ซึ่งชนะเงินเฟ้อและดีกว่าเงินฝาก
ยกตัวอย่างประกันสะสมทรัพย์ที่จ่ายเบี้ย 100,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี รวมเบี้ยทั้งสิ้น 1 ล้านบาท เมื่อครบกำหนด 20 ปี คุณจะได้รับเงินคืนประมาณ 1.8-2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการฝากธนาคารด้วยจำนวนเงินเดียวกัน คุณจะได้รับประมาณ 1.1-1.2 ล้านบาทเท่านั้น
คุณพรเทพ ซื้อประกันสะสมทรัพย์เมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยเบี้ยปีละ 50,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี รวม 500,000 บาท ปีนี้เขาได้รับเงินก้อนคืน 1.1 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทน 120% ในขณะที่เพื่อนของเขาที่ฝากเงินในธนาคารด้วยจำนวนเดียวกันได้รับเพียง 650,000 บาท”
5. 🧩 “ความยืดหยุ่นในการวางแผนภาษี”
เงินฝากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในขณะที่ประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณนิภา ประกันชีวิตและประกันสุขภาพสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทสำหรับประกันชีวิตทั่วไป และอีกสูงสุด 25,000 บาทสำหรับประกันสุขภาพ
หากคุณอยู่ในฐานภาษี 30% การทำประกันชีวิตและสุขภาพเต็มสิทธิ์จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้ถึง 37,500 บาทต่อปี (125,000 × 30%)
นอกจากนี้ยังมีประกันบำนาญที่ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีกสูงสุด 200,000 บาท และประกันสะสมทรัพย์แบบ 10/2 ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและเงินคืนตามกรมธรรม์
คุณศุภชัย เจ้าของธุรกิจรายได้สูง ใช้ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันบำนาญเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนภาษี ช่วยให้เขาประหยัดภาษีได้กว่า 100,000 บาทต่อปี ในขณะที่ยังได้รับความคุ้มครองและการออมไปพร้อมกัน”
6. 👨👩👧 “สร้างความมั่นคงให้ครอบครัวอย่างแน่นอน”
เงินฝากอาจไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของครอบครัวหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณชาญชัย สมมติว่าคุณเป็นหลักในการหารายได้ให้ครอบครัว หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณ เงินฝาก 500,000 บาทหรือ 1,000,000 บาทอาจดูเยอะ แต่จะเพียงพอสำหรับครอบครัวในระยะยาวหรือไม่?
ถ้าครอบครัวมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท เงินออม 1 ล้านบาทจะอยู่ได้เพียง 20 เดือนหรือไม่ถึง 2 ปี แต่ถ้าคุณมีประกันชีวิต 5 ล้านบาท ครอบครัวจะมีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนได้นานถึง 100 เดือนหรือกว่า 8 ปี หรืออาจนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง
คุณสมภพ อายุ 45 ปี มีเงินออมในธนาคาร 2 ล้านบาท และประกันชีวิต 5 ล้านบาท เมื่อเขาเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ภรรยาของเขานำเงินประกัน 5 ล้านบาทไปลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทน 4% ต่อปี ทำให้เธอมีรายได้ประจำ 200,000 บาทต่อปีโดยไม่ต้องแตะเงินต้น และยังคงมีเงินออม 2 ล้านบาทสำหรับกรณีฉุกเฉิน”
7. 🏡 “แก้ปัญหาการผ่องถ่ายทรัพย์สิน”
เงินฝากต้องผ่านกระบวนการพินัยกรรมและอาจถูกหักภาษีมรดก ในขณะที่เงินประกันชีวิตจ่ายให้ผู้รับผลประโยชน์โดยตรง
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณประสิทธิ์ เงินในบัญชีธนาคารของคุณจะถูกอายัดทันทีเมื่อธนาคารทราบว่าคุณเสียชีวิต และทายาทต้องนำพินัยกรรมหรือคำสั่งศาลเพื่อขอเบิกเงิน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี
ในทางตรงกันข้าม เงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตจะจ่ายให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่คุณระบุไว้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพินัยกรรมหรือการจัดการมรดก และไม่ต้องเสียภาษีมรดก
คุณสุรศักดิ์ นักธุรกิจที่มีทรัพย์สินมาก เลือกใช้ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือในการวางแผนมรดก โดยซื้อกรมธรรม์มูลค่า 20 ล้านบาท และระบุลูกทั้ง 3 คนเป็นผู้รับผลประโยชน์ เมื่อเขาเสียชีวิต ลูกๆ ได้รับเงินประกันภายใน 2 สัปดาห์ ในขณะที่ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ต้องผ่านกระบวนการพินัยกรรมใช้เวลาถึง 2 ปีในการจัดการ”
8. 🎓 “ความต่อเนื่องในการสร้างเป้าหมายการเงิน”
เงินฝากอาจถูกนำออกมาใช้ง่าย ทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายระยะยาว ในขณะที่ประกันช่วยสร้างวินัยในการออม
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณจิราภรณ์ การออมเงินในธนาคารมีข้อดีคือสภาพคล่องสูง แต่ข้อเสียคือคุณสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ง่ายเช่นกัน หลายคนตั้งใจออมเพื่อการศึกษาของลูกหรือเพื่อเกษียณ แต่เมื่อมีความต้องการระยะสั้น เช่น ซื้อรถ ท่องเที่ยว ก็มักจะถอนเงินออมมาใช้ ทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายระยะยาว
ประกันแบบสะสมทรัพย์หรือประกันเพื่อการศึกษาช่วยสร้างวินัยในการออม เพราะมีเงื่อนไขและระยะเวลาที่ชัดเจน หากถอนก่อนกำหนดจะมีค่าใช้จ่าย ทำให้คิดหนักก่อนตัดสินใจ
คุณดวงใจ ต้องการออมเพื่อการศึกษาของลูกชายวัย 5 ขวบ เธอเลือกซื้อประกันเพื่อการศึกษาที่จ่ายเบี้ย 50,000 บาทต่อปี เป็นเวลา 10 ปี และจะได้รับเงินก้อนเมื่อลูกอายุ 15, 16, 17 และ 18 ปี ก้อนละ 200,000 บาท รวม 800,000 บาท เธอเล่าว่า ‘ถ้าฝากธนาคาร ดิฉันอาจเผลอถอนเงินออกมาใช้เมื่อมีความจำเป็น แต่การทำประกันทำให้ดิฉันมีวินัยและมั่นใจว่าลูกจะมีเงินเรียนจนจบปริญญาตรีแน่นอน'”
9. 🤒 “เตรียมพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในวัยชรา”
เงินฝากอาจไม่เพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นในวัยชรา
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณสมศักดิ์ ค่ารักษาพยาบาลในวัยชราสูงกว่าวัยหนุ่มสาวประมาณ 3-5 เท่า โดยเฉลี่ยผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ 100,000-300,000 บาท นั่นยังไม่รวมกรณีเจ็บป่วยร้ายแรงหรือต้องการการดูแลระยะยาว ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงเดือนละ 30,000-50,000 บาท
ประกันสุขภาพและประกันการดูแลระยะยาวที่ซื้อไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะมีเบี้ยประกันที่ถูกกว่าและให้ความคุ้มครองต่อเนื่องไปจนถึงวัยชรา ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
คุณวินัย อายุ 40 ปี ซื้อประกันสุขภาพแบบตลอดชีพด้วยเบี้ยคงที่ 30,000 บาทต่อปี ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อปี เมื่อเขาอายุ 75 ปี และต้องผ่าตัดหัวใจ ประกันจ่ายค่ารักษา 900,000 บาท หากเขาซื้อประกันตอนอายุ 75 ปี เบี้ยจะสูงถึงปีละ 150,000 บาท หรืออาจถูกปฏิเสธการรับประกัน”
10. 🔄 “ความคุ้มครองที่ครอบคลุมหลายมิติ”
เงินฝากมีเพียงมิติเดียวคือมูลค่าเงิน แต่ประกันมีความคุ้มครองหลายมิติในกรมธรรม์เดียว
อธิบายด้วยตัวอย่าง: “คุณสุพัฒน์ ประกันสมัยใหม่มีความคุ้มครองหลายมิติในกรมธรรม์เดียว เช่น ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-linked) ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต ความคุ้มครองโรคร้ายแรง ค่ารักษาพยาบาล และการลงทุนในกองทุนรวมที่คุณเลือกได้
ตัวอย่างเช่น กรมธรรม์หนึ่งสามารถให้:
- ความคุ้มครองชีวิต 1 ล้านบาท
- ความคุ้มครองโรคร้ายแรง 500,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 1 ล้านบาทต่อปี
- การลงทุนในกองทุนรวมที่มีโอกาสได้ผลตอบแทน 5-8% ต่อปีในระยะยาว
คุณพรชัย อายุ 35 ปี ซื้อประกันแบบยูนิตลิงค์ที่จ่ายเบี้ย 10,000 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นส่วนความคุ้มครอง 3,000 บาท และส่วนการลงทุน 7,000 บาท เมื่อครบ 20 ปี นอกจากจะมีความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพตลอดระยะเวลา มูลค่าเงินลงทุนของเขายังเติบโตเป็น 3.5 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี ทำให้เขามีเงินก้อนสำหรับเกษียณอายุและยังมีความคุ้มครองต่อเนื่องไปอีกหลายปี”
การอธิบายข้อดีของประกันเมื่อเทียบกับการฝากธนาคารไม่ใช่การบอกว่าไม่ควรฝากเงินในธนาคารเลย แต่เป็นการช่วยให้ลูกค้าเข้าใจว่าวางแผนการเงินที่สมบูรณ์ต้องมีทั้งเงินฝากสำหรับสภาพคล่องและเหตุฉุกเฉินระยะสั้น และประกันสำหรับการวางแผนระยะยาวและการบริหารความเสี่ยง