หากคุณกำลังคิดที่จะเปิดแฟรนไชส์ นอกจากการทำคู่มือแฟรนไชส์ การวางแผนการตลาดในธุรกิจของคุณแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องของ สัญญาแฟรนไชส์ ถึงแม้ว่า สัญญาแฟรนไชส์ จะเป็นหน้าที่ของทนายความที่ต้องดำเนินการ แต่คุณก็ต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องนี้ด้วย เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนให้กับทนายความ เช่น ในเรื่องของข้อกำหนดต่างๆในการเปิดแฟรนไชส์ ค่าตอบแทนการใช้สิทธิ์ หน้าที่ของแฟรนไชส์ซอร์ หรือสิทธิ์ต่างๆที่แฟรนไชส์ซีควรได้รับ เป็นต้น และเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย เราจึงได้รวบรวมรายละเอียดที่ต้องมีใน สัญญาแฟรนไชส์ ไว้ดังนี้
1.เครื่องหมายการค้าและข้อกำหนดในการใช้งาน
เครื่องหมายการค้า ถือเป็นสิ่งที่เจ้าของสิทธิหรือแฟรนไชส์ซอร์ควรมี เพราะถ้าหากไม่มีเครื่องหมายการค้า แฟรนไชส์ซอร์ก็ไม่สามารถที่จะเปิดแฟรนไชส์ของตนเองได้ ซึ่งใน สัญญาแฟรนไชส์ ควรระบุเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆ พร้อมข้อกำหนดการใช้งานระหว่างแฟรนไชส์ซอร์ กับ แฟรนไชส์ซีให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
2.ระบุระยะเวลาสัญญา
แฟรนไชส์ซอร์ ควรแจ้งรายละเอียดในเรื่องของการต่อสัญญา ระยะเวลาสัญญา จุดคุ้มทุน และค่าธรรมเนียมต่างๆที่แฟรนไชส์ซีต้องชำระ จะเป็นรายปีหรือรายเดือน ก็ควรระบุให้ชัดเจน
3.หน้าที่แฟรนไชส์ซอร์
ใน สัญญาแฟรนไชส์ แฟรนไชส์ซอร์จะต้องระบุว่า ขณะที่ตนกำลังดำเนินการในธุรกิจนี้ ในอนาคตมีการวางแผนอะไรบ้างและมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน อีกทั้ง แฟรนไชส์ซอร์จะต้องสนับสนุนแฟรนไชส์ซีในทุกๆด้าน
4.หน้าที่แฟรนไชส์ซี
แฟรนไชส์ซี จะต้องระบุใน สัญญาแฟรนไชส์ ว่า เมื่อร่วมธุรกิจด้วยกันแล้ว แฟรนไชส์ซีจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แฟรนไชส์ซอร์ได้กำหนดไว้ เช่น การซื้อวัตถุดิบจากแฟรนไชส์ซอร์ตลอดระยะเวลาการทำงาน เป็นต้น
5.มาตราฐานและเงื่อนไขต่างๆ
ในข้อนี้ แฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี จำเป็นต้องตกลงร่วมกัน ชี้แจงรายละเอียดให้เข้าใจทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดจำหน่าย การให้บริการ การฝึกอบรม การบริหารแฟรนไชส์ค่าใช้จ่าย รายได้ และกำไรในแต่ละเดือน
6.ค่าตอบแทนการใช้สิทธิ์
ค่าตอบแทนการใช้สิทธิ์ เป็นเงินที่แฟรนไชส์ซีจ่ายให้กับแฟรนไชส์ซอร์ เพื่อแลกกับการที่ตนได้ใช้สิทธิ์ประกอบการร้านแฟรนไชส์นั่นเอง แฟรนไชส์ซอร์บางคน อาจเรียกเก็บเงินก้อนเดียวจบพร้อมเปิด หรือบางคนเปิดให้ผ่อน 3 เดือน 6 เดือน ขึ้นอยู่กับการตกลงของทั้งสองฝ่าย
7.การโฆษณาและการส่งเสริมการขาย
เมื่อทำธุรกิจร่วมกันแล้ว แน่นอนว่า หากแฟรนไชส์ซอร์มีการโปรโมทหรือโฆษณา เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับสินค้าของตนเอง ก็อาจจะมีการเรียกเก็บเงินจากแฟรนไชส์ซี ดังนั้น แฟรนไชส์ซอร์ ควรระบุจำนวนเงินให้ชัดเจนว่า ในแต่ละเดือนมีการโปรโมทในช่องทางไหนบ้าง และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่
8.ประกันภัยต้องมี
ประกันภัย จะเป็นประโยชน์แก่แฟรนไชส์ซีอย่างมาก หากซื้อแฟรนไชส์แล้วเกิดขาดทุน หรือเกิดความเสียหายในอนาคต ประกันภัยนี่แหละจะเข้ามาช่วยในส่วนนี้
9.บัญชีงบการเงิน รายงาน และการตรวจสอบ
ในเรื่องของการเงิน แฟรนไชส์ซีจะต้องเปิดโอกาสให้แฟรนไชส์ซอร์ สามารถเข้าตรวจสอบทางการบัญชีและการเงินได้ ไม่มีข้อปิดบังใดๆ
10.การผิดสัญญา การเลิกสัญญา และข้อกำหนดภายหลังการสิ้นสุดสัญญา
ใน สัญญาแฟรนไชส์ จะต้องระบุถึงเงื่อนไขของการผิดสัญญา การเลิกสัญญา เช่น หากแฟรนไชส์ซีเลิกสัญญาไปแล้ว มีข้อกำหนดอย่างไร สามารถกลับมาต่อสัญญาอีกได้ไหม หรือถ้าผิดสัญญา มีวิธีดำเนินการอย่างไร ต้องเสียค่าชดใช้หรือไม่
11.ทุกอย่างควรเก็บเป็นความลับ
แฟรนไชส์ซอร์ จำเป็นจะต้องถ่ายทอดวิชาของตนให้กับแฟรนไชส์ซีทราบ เพื่อที่แฟรนไชส์ซี จะได้นำไปปฏิบัติในสาขาของตนเอง เพื่อไม่ให้คู่แข่งลอกเลียนแบบธุรกิจของตน ทุกเรื่องที่แฟรนไชส์ซอร์ถ่ายทอดออกมานั้น จึงต้องเก็บเป็นความลับ เช่น สูตรชานมที่ไม่เหมือนใคร กรรมวิธีในการเคี้ยวไข่มุกให้เด้ง ไม่แข็งเป็นไต ซึ่งใน สัญญาแฟรนไชส์ จะต้องระบุว่า ระยะเวลาที่แฟรนไชส์ซีได้ทำธุรกิจร่วมกัน จนครบสัญญา และหลังจากหมดสัญญาไปแล้ว ไม่ควรนำสูตร กรรมวิธีต่างๆ หรือสิ่งที่เป็นความลับในธุรกิจนำไปเผยแพร่เด็ดขาด
12.การซัพพอร์ทเรื่องทำเลที่ตั้ง
ในเรื่องของทำเลที่ตั้งขึ้นอยู่กับข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย แฟรนไชส์ซอร์อาจจะหาทำเลให้กับแฟรนไชส์ซี หรือแฟรนไชส์ซีอาจต้องหาทำเลเอง ถ้าหากแฟรนไชส์ซอร์ไม่ได้หาทำเลให้กับแฟรนไชส์ซี ก็ควรระบุทำเลให้ชัดเจนว่า ทำเลที่ตั้งที่ดี ควรเป็นแบบไหน ใกล้โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าไหม และต้องใช้พื้นที่เท่าไหร่ เพื่อที่แฟรนไชส์ซี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการหาทำเล
