ในการซื้อของชิ้นใหญ่อย่าง บ้าน คอนโดหรือรถยนต์นั้น ยากต่อการที่จะจ่ายเงินสดก้อนใหญ่ เพราะฉันนั้น การกู้เงิน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลหรือการ “กู้เงิน” ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิด หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนด ก็สามารถกู้เงินได้ง่ายโดยไม่ถูกธนาคารปฏิเสธ ซึ่งคุณสมบัติในการกู้เงินมีดังนี้
1.ถ้าจะกู้เงินต้องไม่มีประวัติเสีย
เราต้องทำประวัติตัวเองให้ดีก่อนที่จะ กู้เงิน ผู้กู้เงินจะต้องมีความน่าเชื่อถือ ถึงแม้จะเคยมีประวัติการเป็นหนี้ แต่ถ้าชำระหนี้ตามเวลาที่หนดก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับ การกู้เงิน กลับกันถ้าหากเราเคยมีประวัติการกู้เงินมาก่อนแล้วนั้น จะส่งผลให้การกู้เป็นไปได้ด้วยดีกว่าผู้ที่ยังไม่เคยกู้เงิน เลยด้วยซ้ำ เพราะผู้ที่เคยกู้เงินนั้น จะมีการบันทึกประวัติไว้ใน “ เครดิตบูโร ” นั่นเอง
การกู้เงิน เกี่ยวกับเครติคบูโรอย่างไร?
เครดิตบูโร คือ บันทึกพฤติกรรมการจ่ายหนี้ เครดิตบูโรจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลบัญชีและประวัติการชำระเงินทุกประเภทของเราไว้ ทำให้รู้ถึงพฤติกรรมการชำระหนี้ของเรานั่นเอง ว่าเราชำระตรงเวลา หรือมีการชำระล่าช้าบ้างไหม เครดิตบูโรก็เรียกได้ว่า เป็นอีก 1 ตัวที่สำคัญในการตัดสินใจของธนาคารนั้นๆว่าจะอนุมัติให้เราสามารถ กู้เงิน ได้หรือไม่
ประวัติเสียอะไรบ้างที่จะส่งผลให้ กู้เงิน ไม่ผ่าน
– ไม่เคยมีประวัติในการขอ กู้เงิน ทำให้ตรวจเช็คพฤติกรรมการชำระหนี้ไม่ได้ ทำให้เสี่ยงต่อการกู้เงิน
– เคยค้างค่าชำระหรือชำระเงินล่าช้าบ่อยครั้ง
– ติดแบล็คลิสต์
– มีหนี้ที่ผ่อนชำระอยู่เป็นจำนวนมาก
2.การเดินบัญชีสำคัญสำหรับ การกู้เงิน อย่างไร
การเดินบัญชีเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่ทำงานประจำ เนื่องจากว่ามียอดเงินเดือนโอนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เพราะทางธนาคารจะดูบัญชีเพื่อทำการประเมินว่า ผู้กู้เงิน จะมีเงินเพียงพอที่จะนำมาชำระทั้งต้นและดอกเบี้ยหรือไม่
แนวทางในการเดินบัญชีทำอย่างไร
แนวทางในการเดินบัญชีคือ การทำให้เงินในบัญชีมียอดเข้าอย่างสม่ำเสมอ และมียอดคงเหลือที่สวยงาม ซึ่งสำหรับคนที่ทำงานประจำก็คงจะไม่มีปัญหา ส่วนคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวหรืออาชีพอิสระ ก็ควรที่จะต้องให้ความสำคัญกับการเดินบัญชีเป็นอย่างมากเพื่อการกู้เงิน
3.ก่อนจะกู้เงินต้องประเมินความสามารถในการผ่อนชำระเงินทุกครั้ง
ลดภาระหนี้ที่ต้องจ่าย ลองลิสต์สิ่งที่เราต้องผ่านชำระ หนี้ต่างๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างละเอียด แล้วลองประเมินดูว่า เราจะสามารถผ่อนจ่ายของพวกนี้ไปพร้อมๆกันได้ไหม โดยที่ต้องรับหน้าที่ในการชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ได้ สำคัญที่สุดคืออย่าเพิ่มหนี้
4.หาข้อมูลอัตราดอกเบี้ยก่อนกู้เงิน
เนื่องจากวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารนั้นมีความแตกต่างกัน ก่อนที่จะกู้เงิน จึงควรศึกษาอย่างละเอียดก่อน นอกจากนั้นวงเงินของการกู้เงิน ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
5.ตรวจสอบเงื่อนไขการกู้เงินทุกครั้ง
กู้เงิน ทั้งทีแน่นอนว่าจะต้องมีเกณฑ์ มีเงื่อนไขในการกู้
– การกู้เงิน ผู้กู้เงินต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่มีอายุไม่เกิน 60 ปี หากมีอายุต่ำกว่าเกณฑ์จะไม่สามารถกู้เงินได้
– ต้องเป็นผู้ที่มีรายได้
– มีที่อยู่อาศัยแน่นอน
– ต้องมีการค้ำประกันโดยบุคคลหรือหลักทรัพย์
เพียงทำได้ตาม 5 ข้อที่กล่าวมา ก็เชื่อว่าการกู้เงิน ให้ธนาคารอนุมัติได้ไม่ยาก แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้รับอนุมัติ ส่งผลให้ต้องไปทำการกู้เงินนอกระบบ จนภายหลังก็เกิดปัญหาตามมาอย่างนับไม่ถ้วน เนื่องจากการกู้นอกระบบนั้นง่ายและสะดวก แต่อย่าลืมว่า ดอกเบี้ยนั้นก็โหดแสนโหด และถ้าหากเราไม่ชำระเงินกู้ตามเวลาที่กำหนด ก็อาจจะเกิดอันตรายได้ เพราะฉะนั้น การกู้เงินในระบบกับทางธนาคาร จึงเรียกได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
สุดท้ายนี้ ถ้าจะเช็คอัตราดอกเบี้ยให้แน่นอน ก็เช็คได้ที่ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
คำศัพท์การเงินที่ควรรู้
ดอกเบี้ยเงินฝาก เป็นเงินที่สถาบันการเงินจ่ายให้กับผู้ฝากเงินเพื่อเป็นผลตอบแทนในการนำเงินมาฝากไว้กับสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีหลายประเภท หลายอัตรา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝากเงินและเงื่อนไขการถอนเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่สามารถถอนเงินได้ตลอดเวลาจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน หรือ 6 เดือน
ซึ่งแนวคิดของการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น (Compound Interest Rate) ที่นำดอกเบี้ยที่ได้รับในงวดก่อนมารวมเป็นเงินตั้งต้นเพื่อคำนวณดอกเบี้ยในงวดต่อไป ซึ่งพูดให้เข้าใจง่ายก็คือดอกเบี้ยของดอกเบี้ย ยิ่งระยะออมหรือลงทุนนานก็จะทำให้เราได้รับประโยชน์ทบทวี ด้วยเงินต้นที่เพิ่มขึ้นทุกปีจากการที่ดอกเบี้ยสร้างผลตอบแทนให้นั่นเอง
ดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นผลตอบแทนที่ผู้ให้กู้เรียกเก็บจากผู้ขอกู้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายประเภท หลายอัตรา โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับประเภทของเงินกู้หรือสินเชื่อ ซึ่งในที่นี้ผู้ให้กู้ หมายถึง สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ Non-bank ซึ่งการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ที่พบได้บ่อยๆ ก็จะมีอยู่ 3 แบบตามประเภทสินเชื่อ คือ
1. สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Loan) เป็นสินเชื่อที่คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ตกลงกัน ณ วันที่ให้สินเชื่อ และจะคิดแบบอัตราคงที่ไปตลอดระยะเวลาการให้สินเชื่อ ดังนั้น เงินที่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละงวดก็จะคงที่ตลอดระยะเวลากู้ ตัวอย่างสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ได้แก่ สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อตู้เย็น สินเชื่อประเภทนี้จะให้ค่า Effective Interest Rate ที่สูง
2. สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Loan) เป็นสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแต่ละช่วงเวลา โดยทั่วไปธนาคารจะใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำอย่าง MLR และ MRR เป็นอัตราอ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกา นิยมเรียกสินเชื่อจำลองอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวว่า Adjustable Rate Mortgage (ARM)
3. สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบผสม (Mixed Rate Loan) เป็นสินเชื่อที่คิดดอกเบี้ยแบบคงที่และแบบลอยตัวผสมกัน โดยส่วนใหญ่ธนาคารมักจะให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบผสม
3.1) อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นในช่วงแรกแล้วปรับเป็นดอกเบี้ยแบบลอยตัวสำหรับระยะเวลาที่เหลือ เช่น 4 ปีแรกดอกเบี้ยคงที่ 3.5% หลังจากนั้นเป็นดอกเบี้ยลอยตัวแบบ MLR – 1
3.2) อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นแบบขั้นบันได แล้วปรับเป็นดอกเบี้ยลอยตัว เช่น 2 ปีแรกดอกเบี้ย 2% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3% ปีที่ 4 และ 5 ดอกเบี้ย 4% หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยลอยตัวแบบ MLR + 1 เป็นต้น
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย/หนังสือ 365+1 คำศัพท์การเงินและการลงทุน
