ถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่

อยากให้คุณลองถามตัวเองว่า
เคยเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์
ไปกับการโกรธ
และการกลุ้มใจหรือไม่
.
มัวแต่พะวงกับสายตา
ของคนอื่นบ้างไหม
ได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับ
สิ่งที่ควรทำจริงแล้วหรือยัง
.
ถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่
หนังสือเล่มนี้ที่จะช่วยให้คุณชนะได้โดย
ไม่ต้องเปลืองแรงต่อสู้
ไม่ว่าคุณจะอยู่ใน
สมรภูมิใดในชีวิตก็ตาม
.
.
คนโง่ในที่นี้หมายถึงคนแบบไหน
ให้อธิบายสั้นๆคือมนุษย์ที่ไม่มีค่า
ให้เราไปต่อสู้ด้วยหรือกังวลใจ
บางเวลาเป็นตัวปัญหาที่เข้ามา
ถ่วงแข้งถ่วงขาโดยไม่มีเหตุผล
.
ลักษณะเด่นของคนโง่
ที่เข้ามาโจมตีคือมีเวลาว่าง
คนโง่จะสนใจในตัวคุณอย่างมาก
เขาพูดหรือทำเรื่องแย่ๆกับคุณ
เพราะต้องการให้คุณสนใจเขาบ้าง
บางครั้งคนแบบนั้นก็มีอิทธิพล
ต่ออนาคตของคุณ
.
ส่งผลให้คุณจำเป็นต้องใส่ใจเขา
ทั้งที่เขาอาจให้ความสนใจในตัวคุณ
และชอบคุณในระดับจิตใต้สำนึก
ถ้าคุณปล่อยออร่าไม่ชอบใส่เขา
ความรู้สึกชอบในใจอีกฝ่าย
ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
และนั่นถือเป็นการจุดชนวนสงคราม
.
.
ความแข็งแกร่งของจิ้งหรีดที่ขี้ขลาด
มีการทดลองที่น่าสนใจ
เกี่ยวกับจิ้งหรีดตัวที่ขี้ขลาด
และพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้
จะมีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า
ตัวที่ชอบการต่อสู้
.
จิ้งหรีดตัวที่ไม่ต่อสู้พร่ำเพรื่อ
จะเก็บพลังงานและรักษาร่างกาย
ของตัวเองให้มีสุขภาพดี
มักจะมีชีวิตรอด
และยังมีโอกาสเจอกับตัวเมีย
จนมีลูกหลานสืบต่อได้
.
ส่วนจิ้งหรีดตัวที่ชอบพุ่งเข้าต่อสู้
เพื่อแย่งชิงอาณาเขตหรือตัวเมีย
โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี
มักจะอ่อนแอจากการต่อสู้มากเกินไป
.
จุดที่เหมือนกันของสัตว์
กับมนุษย์คือการไม่ต่อสู้พร่ำเพรื่อ
จะช่วยให้อยู่รอดได้ดีกว่า
.
.
ความฉลาดเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
แต่มันไม่ใช่คุณค่าสูงสุด
ทักษะแท้จริงที่มีคุณค่าสูงสุด
แถมยังช่วยให้เรา
โดดเด่นกว่าคนอื่นได้
ไม่ใช่ความหัวไว
ไม่ใช่การมีความจำดี
และไม่ใช่การมี
ความคิดสร้างสรรค์
.
ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ
นักวิชาการ นักการเมือง
หรือข้าราชการ
.
ทักษะที่จำเป็นต้องมีคือ
“ทักษะการอ่านใจคน”
.
คนที่มีทักษะนี้จะเป็นคน
ที่ปราดเปรื่องที่สุด
ขอแค่มีทักษะนี้ติดตัว
ชีวิตคุณจะ “ติดลมบน”เลยทีเดียว
.
คนระดับหัวกะทิที่ไม่เข้าใจ
ความรู้สึกของคนอื่น
เป็นผลให้ไม่อาจแสดง
ศักยภาพออกมาได้เต็มที่
สุดท้ายก็ตกม้าตายกลางคัน
.
ไม่ว่ามีความสามารถด้านวิเคราะห์
ที่เฉียบคมแค่ไหน หากอยากสร้าง
ความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก
สิ่งที่ต้องทำคือการทำความเข้าใจ
ความรู้สึกของผู้มีอำนาจ รู้จักเข้าหา
และจูงใจเขาให้ทำอย่างที่เราต้องการ
.
การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ต้องเริ่มจากการคิดถึง
ความรู้สึกของอีกฝ่ายก่อน
เมื่อทำแบบนั้นเราจะ
ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องสู้
กับคนโง่อีกต่อไป
.
การทำความเข้าใจความรู้สึก
ของคนอื่นนั้นสำคัญพอๆ
กับการคิดถึงเป้าหมาย
ของตัวเองอย่างมุ่งมั่น
หากมีทักษะนี้ติดตัว
แม้แต่คนโง่เราก็สามารถ
จูงจมูกให้ทำตามได้
.
.
ถ้าคุณอยากได้รับ
การประเมินที่ดีจากหัวหน้า
ให้ลองคิดดูว่าถ้าตัวเองเป็นหัวหน้า
ที่ต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์
กับทั้งคนที่อยู่เบื้องบนและเบื้องล่าง
ยังต้องรับผิดชอบตัวเลขผลงาน
คุณจะต้องการให้ลูกน้องทำอะไร
.
สิ่งที่หัวหน้าต้องการอาจเป็น
“ผลงานที่เป็นตัวเลข”
“การมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับคนภายในแผนก” หรือ
“การดึงดูดความสนใจคน
ที่อยู่เบื้องบน”ก็ได้
.
สิ่งสำคัญคือการดึงดูด
ความสนใจของหัวหน้า
จงทิ้งความคิดอ่อนหัดที่ว่า
“ขอแค่พยายามเดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเอง”
แล้วนำเสนอผลงานของตัวเอง
ให้หัวหน้าได้เห็นอย่างสง่าผ่าเผย
ละทิ้งความคิดว่า “หัวหน้ามองไม่เห็นเรา”
พร้อมกับพยายามดึงดูด
ความสนใจของหัวหน้าดีกว่า
.
.

มนุษย์เราไม่สามารถ
ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษา
ความสัมพันธ์กับผู้คน
เราต้องคอยตรวจสอบจุดยืนของตัวเอง
โดยพิจารณาจากมุมมองของคนอื่น
ถึงอย่างนั้นไม่ควรถูกสายตา
ของคนอื่นปั่นหัวเสียจนสับสน
เราต้องรักษาจุดยืนของตัวเอง
เพื่อจะได้เป็นตัวเอกในชีวิตของเรา
.
“การรู้ว่าคนอื่นมองเราอย่างไร” กับ
“การจินตนาการว่าคนอื่นมองเราอย่างไร
แล้วถูกความคิดนั้นปั่นหัว”
เป็นสิ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
กรณีแรกเรายังเป็นตัวเอกอยู่
ในกรณีหลังตัวเราที่ถูกปั่นหัวได้สูญเสีย
สถานะตัวเอกและปล่อยให้คนอื่น
กลายเป็นตัวเอกแทน
.
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ
การลงมือทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น
ไม่ว่าเราจะต้องกลายเป็น
ตัวตลกหรือโดนดูถูกก็ตาม
.
.
เรียกความเชื่อมั่นในตัวเอง
กลับคืนมาในเวลาที่ท้อแท้ใจ
.
การที่เรารู้สึกท้อแท้ใจ
หมายถึงว่าเราเหนื่อยล้า
จิตใจของเราจึงส่งสัญญาณ
เตือนว่า “พักได้แล้ว”
.
ในเวลาเช่นนี้การรับมือของแต่ละคน
จะแตกต่างกันไป
เราควรใช้โอกาสนี้รีเฟสตัวเอง
“การหยุดพักก็ถือเป็นความกล้า
การหยุดพักก็ถือเป็นการฝึกฝน”
หากร่างกายเหนื่อยล้า
แล้วยังฝึกฝนกล้ามเนื้อต่อไป
ก็อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บได้
.
การรีเฟรชควรเริ่มจาก
การลืมเรื่องงานหรือ
เรื่องที่ต้องรับผิดชอบไปให้หมดสิ้น
.
ในการทำเช่นนี้
เราจะต้องเปลี่ยนสถานที่ที่อยู่
เปลี่ยนคนที่คบหา
เปลี่ยนจังหวะการใช้ชีวิต
ในหนึ่งวันของเรา แล้วจิตใจของเรา
จะค่อยๆปรับเปลี่ยนไปเป็น
โหมดรีเฟรชอัตโนมัติ
.
ส่วนใหญ่การที่เราสูญเสีย
ความเชื่อมั่นในตัวเอง
มีสาเหตุการจากเหนื่อยล้า
.
ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสูญเสียได้ง่ายมาก
กลับกันต้องใช้เวลาพอสมควร
ในการเรียกกลับคืนมา
เมื่อกำจัดควาเหนื่อยล้า
ทางจิตใจได้แล้ว
ความเชื่อมั่นในตัวเอง
ก็กลับมาด้วยเช่นกัน
.
.
กระโจนเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อม
ที่เต็มไปด้วยคนเก่ง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอนเอียง
ไปตามสภาพแวดล้อมได้ง่าย
.
เราจึงควรพาตัวเองเข้าไปอยู่
ในสภาพแวดล้อมที่ผลักดันเรา
ในกลุ่มที่มีความกระตือรือร้น
จะทำให้เราอยากพัฒนาตัวเอง
โดยอัตโนมัติ ยิ่งเราถูกรายล้อม
ไปด้วยคนที่เก่งกว่า
ก็ยิ่งทำให้เราเติบโต
.
เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
เราก็ไม่มีเวลาว่างไปสู้กับคนโง่
และ “คนที่เราควรต่อสู้ด้วย
คือคนที่เก่งกว่าเรา” นั้นถูกต้องจริงๆ
.
.
วิถีชีวิตแบบไม่สู้กับคนโง่
จะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิต
ในแบบของคุณเอง
และช่วยให้คุณเข้าใกล้
เป้าหมายของตัวเองมากขึ้น