บางคนอาจจะดู Netflix เพื่อความบันเทิง และรู้สึกขอบคุณที่ทาง Netflix มีหนังดี ซีรีย์ให้ดูเยอะมาก ในราคาที่ไม่แพงด้วย แต่มีอีกหลายคนที่มอง Netflix แล้วเห็นสิ่งที่ต่างออกไป ผู้นำหลายคนมองไปที่ Netflix แล้วมองเห็นอนาคตของการแข่งขันและนวัตกรรม โดยดูว่าแท้จริงแล้ว Netflix ทำธุรกิจอย่างไร ประสบความสำเร็จได้เพราะอะไร
3 บทเรียนจากความสำเร็จของ Netflix ที่ใช้ได้กับทุกบริษัท
1.ข้อมูลขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพ แต่ข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความคิดขนาดใหญ่ คือสิ่งที่เปลี่ยนโลกได้
Netflix เป็นผู้นำทางเทคโนโลยีที่มีการวิเคราะห์,กระบวนการแก้ปัญหา และนวัตกรรมการสตรีมแบบดิจิทัล ได้เปลี่ยนวิธีการดูภาพยนตร์และรายการทีวีของลูกค้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Netflix รวมทั้งการสร้างแพลตฟอร์มที่กำหนดรูปแบบสิ่งที่ลูกค้าสนใจไม่ใช่แค่การรับชม โดยบริษัทมีข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับชมของสมาชิก 125 ล้านคนจากภาพยนตร์และรายการทีวีที่พวกเขาชื่นชอบและไม่ชอบ ระยะเวลาในการดูแต่ละตอนหรือปริมาณการดูซีรีส์ใหม่ ระบบข้อมูลที่ทรงพลังนี้สร้างระบบสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์และแสดงให้สมาชิกเห็นตามสัดส่วน ซึ่งประเด็นหลัก คือ เทคโนโลยีสำคัญที่สุดเมื่ออยู่ในการให้บริการของกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
2.หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม คุณต้องเต็มใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง
Netflix ได้เริ่มต้นด้วยนวัตกรรมที่เรียบง่าย โดยการบดขยี้บัสเตอร์ด้วยการจัดส่งดีวีดีทางไปรษณีย์และยกเลิกค่าธรรมเนียมล่าช้า จากนั้นจะเปลี่ยนจากเนื้อหาการส่งเมลเป็นสตรีมภาพยนตร์และรายการทีวีแบบดิจิทัล Netflix ทำสิ่งสำคัญที่สุด คือการเป็นผู้สร้างเนื้อหา โดยใช้เงินไปกว่า $12 พันล้านในปีนี้สำหรับสร้างสรรค์รายการของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ทำให้ Netflix ทำให้บรรทัดฐานทางของธุรกิจโทรทัศน์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บทเรียนสำคัญ คือ ความสำเร็จที่ผ่านมาไม่สามารถจำกัดความสำเร็จในอนาคตของคุณได้
3.กลยุทธ์คือวัฒนธรรม และวัฒนธรรมคือกลยุทธ์
ทุกคนในองค์กรคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับผู้คนและวัฒนธรรม เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำเกี่ยวกับการสตรีมและเนื้อหาดิจิทัล Netflix ได้คิดค้นวิธีปฏิบัติที่ออกแบบมาอย่างชัดเจนเพื่อเชื่อมโยงสิ่งที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ สิ่งสำคัญ คือ เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม เข้าใจพนักงานว่าต้องทำงานอย่างชัดเจนให้เหมือนกำลังแข่งขันอยู่
การพยายามเรียนรู้มากเกินไปจากการทำงานขององค์กรเดียวเป็นสิ่งที่อันตรายเสมอ แม้แต่บริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้และความผิดหวัง ขณะที่เราหันไปใช้ Netflix เพื่อความบันเทิงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายบริษัทกลับมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจและการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพวกเขา
ประวัติความเป็นมา Netflix
กว่าจะมาเป็น Netflix หรือธุรกิจสตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้จนถึงทุกวันนี้ เกือบล้มละลายถึง 2 ครั้งด้วยกัน แต่สุดท้าย ก็พลิกวิกฤตกลับมาดีได้ทุกครั้ง จุดเริ่มต้นของ Netflix เกิดขึ้นในปี 1997 โดยชายวัยกลางคนที่ชื่อว่า Reed Hastings เขาได้เช่าวิดีโอเรื่อง Apollo 13 มาดู แต่การส่งคืนวิดิโอของเขาช้ากว่ากำหนด จึงทำให้ร้านเช่าวิดีโอคิดค่าปรับเป็นจำนวน 40 เหรียญ หรือประมาณ 1,200 บาท
ในตอนนั้น 40 เหรียญสำหรับเขา ถือว่าเยอะ อีกทั้ง ก็กลัวว่า ถ้าภรรยารู้ อาจจะต้องโดนบ่นแน่ๆ จึงเก็บความลับนี้ไว้ และเหตุนี้แหละ จึงทำให้เขาเกิดไอเดียใหม่ว่า “ทำไมคนเราจ่าย 30-40 เหรียญ แล้วเข้าใช้ฟิตเนสได้ตามใจตนเอง ทำไมเราไม่นำมาปรับใช้ธุรกิจเช่าวิดีโอบ้าง หลังจากนั้น เขาจึงชวนอดีตเพื่อนร่วมงานอย่าง Marc Randolph มาสร้างธุรกิจร่วมกัน ชื่อว่า Netflix
ในช่วงแรกๆ Netflix ยังคงให้ลูกค้าเช่าแบบรายครั้งอยู่ เพื่อดูผลตอบรับ แต่พอมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาอย่าง DVD และผู้คนเริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น เขาจึงวางระบบบนเว็บไซต์ โดยลูกค้าสามารถจองหนังจากเว็บไซต์ได้เลย หนังก็จะถูกส่งมาที่บ้าน ด้วยระบบขนส่งทางไปรษณีย์
ในช่วงนั้น Netflix ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนา เขาได้เปิดบริการบุฟเฟ่ต์รายเดือน ทำให้ผู้คนสนใจยิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาเกือบล้มละลายถึง 2 รอบคือ ค่าส่งไปรษณีย์ถูกปรับให้สูงขึ้น จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อ Netflix โดยตรง
Blockbuster ผู้ให้เช่าภาพยนตร์รายใหญ่รู้ เลยต้องการที่จะซื้อ Netflix ต่อ เพราะสามารถดูแลเรื่องการจัดการเช่า การจัดส่งสินค้าได้ แต่ Reed Hastings กลับยื่นข้อเสนอในราคา 50 ล้านเหรียญ ทำให้ Blockbuster ไม่กล้าซื้อต่อเพราะราคาสูงเกินไป ไม่นานก็เกิดวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม ทำให้ธุรกิจ Netflix แย่ลงไปอีก ถึงขั้นต้องปลดพนักงาน 40 คน เพื่อลดค่าใช้จ่าย
ถึงวิกฤตในครั้งนี้ จะหนักหนาแค่ไหน เขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม และยังประคับประคองธุรกิจของเขาต่อไป จนในที่สุด เครื่องเล่น DVD กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ทำให้ความต้องดูหนัง DVD มีจำนวนมากขึ้น Netflix จึงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง และกลายเป็นผู้เช่าหนังรายใหญ่ของสหรัฐฯ อีกด้วย
ในปี 2005 Netflix ได้สร้างเทคโนโลยีที่ให้ความสะดวกสบายกับลูกค้ามากขึ้น และตัดปัญหาการส่งไปรษณีย์ จึงสร้าง Netflix Box ขึ้นมา การใช้งานง่ายมาก เพียงนำกล่อง Netflix Box ติดตั้งกับโทรทัศน์ ลูกค้าก็สามารถเช่าหนังดูจากที่นี่ได้เลย หนังก็จะถูกดาวน์โหลดลงกล่อง
แต่ยังไม่ได้ทันได้วางขาย แอปพลิเคชั่นอย่าง Youtube ก็ได้เปิดตัว เขาจึงเกิดความคิดใหม่อีกครั้งว่า เมื่อ YouTube ทำเว็บดูวิดีโอออนไลน์ได้ แล้วทำไม Netflix จะทำไม่ได้ เขาจึงล้มเลิก Netflix Box และเขาก็ได้ฉุกคิดอีกว่า DVD ก็คงฝากอนาคตไว้ไม่ได้อีกเช่นกัน เขาจึงเปิดบริการใหม่สำหรับสมาชิกรายเดือน สามารถรับชมแบบออนไลน์ได้แบบฟรีๆ จึงทำให้ใครหลายคนกล้าที่จะมาลองใช้บริการสตรีมมิ่ง และปัจจุบัน ธุรกิจ Netflix หรือธุรกิจสตรีมมิ่ง ทำรายได้สูงทะลุ 6 ล้านล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Resource: https://hbr.org/2018/07/to-see-the-future-of-competition-look-at-netflix