เมื่อตารางงานที่ยุ่งวุ่นวายกลายเป็นเรื่องปกติ ได้เวลาประเมินสมดุลชีวิตและการทำงานของคุณใหม่ และทำการเปลี่ยนแปลงที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงความเหนื่อยหน่ายในงาน
ผลการศึกษาล่าสุดโดยองค์การอนามัยโลกและองค์การแรงงานระหว่างประเทศพบว่าการทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อเทียบกับคนที่ทำงาน 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
เมื่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของคุณไม่ตรงกัน คุณอาจพบกับภาวะหมดไฟ ซึ่งเป็นภาวะที่คุณเหนื่อยล้าจนแม้แต่งานง่าย ๆ ก็ยังรู้สึกท่วมท้น
สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณต้องการรีเซ็ตสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
1.ไม่ดูแลร่างกาย
นอนดึกเกินไปหรือมีปัญหาในการนอนหลับ, นั่งทั้งวันและไม่ออกกำลังกาย, ทานอาหารส่วนใหญ่จากตู้ขายของอัตโนมัติหรือแบบไดรฟ์ทรู หรือไม่กินเลย รวมทั้งมีปัญหาสุขภาพแต่ไม่ได้อยากไปพบแพทย์
2.สุขภาพจิตของคุณกำลังตกต่ำ
เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า หรือประสบกับความหวาดกลัว, กระสับกระส่าย, สิ้นหวัง, ตื่นตระหนก, อารมณ์แปรปรวน และอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย
3.ไม่สนใจงานที่ทำอยู่
เมื่อคุณรู้สึกว่างานไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป และอาจรู้สึกไม่เชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าของคุณ
4.รู้สึกไร้ความสามารถ
คุณกังวลอยู่เสมอเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของคุณ และกลัวว่าจะถูกไล่ออก
5.แยกไม่ออกระหว่างที่ทำงานและที่บ้าน
การเพิ่มขึ้นของผู้คนที่ทำงานจากที่บ้านมากขึ้น ทำให้การแบ่งแยกระหว่างชั่วโมงทำงานและนอกเวลางานยากขึ้น โดยเฉพาะการที่ต้อง ต้องตอบอีเมลตอนกลางคืน
6.รู้สึกเหงา
ในขณะที่คุณมีผู้คนมากมายอยู่รายล้อมคนอยู่รอบๆ แต่คุณกลับรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่อยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างเริ่มมีปัญหา
8 เคล็ดลับ Work-Life Balance
1.เว้นระยะห่างระหว่างที่ทำงานและที่บ้าน
สร้างพื้นที่สำนักงานโดยเฉพาะซึ่งแยกจากที่นอนหรือที่พักผ่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องแยกต่างหาก เพียงแค่มีโต๊ะเฉพาะที่สามารถทำงานได้
2.ตัดการเชื่อมต่อเมื่ออยู่ที่บ้าน
หากคุณอดไม่ได้ที่จะตอบทุกข้อความหรืออีเมลที่เข้ามา แม้หลังเวลาทำการ ให้ปิดโทรศัพท์, ปิดเสียง หรือเก็บไว้ในห้องอื่นเพื่อที่คุณจะได้ไม่อยากตอบกลับ
3.มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
เน้นทีละงานและทำงานต่อไปจนกว่าจะเสร็จ อย่าพยายามทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ปิดอีเมลและปิดโทรศัพท์หากเป็นไปได้ เพื่อลดสิ่งรบกวน
4.ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง
ตัดสินใจจัดเวลาออกกำลังกาย, เลือกและวางแผนสำหรับมื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และเวลาที่มีคุณภาพกับเพื่อนและครอบครัว ทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถต่อรองได้ในกำหนดการของคุณ จำไว้ว่าการดูแลตนเองไม่ใช่เรื่องหรูหรา แต่เป็นสิ่งจำเป็น
5.พักร้อนแม้ว่าจะเป็นการพักผ่อนก็ตาม
หากคุณมีวันหยุดพักร้อน อย่าปล่อยให้มันสะสมหรือหมุนเวียนไปทุกปี หาเวลาพักผ่อน แม้ว่าจะเป็นวันที่คุณนอนดูหนังทั้งวัน หรือเพื่อไปทานอาหารกับเพื่อน เพราะเราทุกคนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ
6.กำหนดขอบเขต
ใช้เวลาสร้างรายการสิ่งที่ทำให้งานของคุณง่ายขึ้นและเครียดน้อยลง, จัดลำดับความสำคัญของรายการที่สำคัญที่สุด และกำหนดความชัดเจนเกี่ยวกับความต้องการของคุณ เช่น การที่คุณไม่ตอบอีเมลในช่วงสุดสัปดาห์เพราะต้องใช้เวลาอยู่กับครอบครัว จะช่วยชี้แจงความเข้าใจผิดใดๆได้
7.หางานใหม่
อาจเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษซึ่งไม่เห็นคุณค่าของเวลาพัก หรือวัฒนธรรมของบริษัทที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ ในกรณีเช่นนี้ การหางานใหม่ (หรืออย่างน้อยก็วางแผนลาออก) อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด เนื่องจากสุขภาพของคุณมีความสำคัญกว่า
8.รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
หากความเครียดส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณ อย่าลังเลที่จะพูดคุยกับนักบำบัด นายจ้างจำนวนมากเสนอโครงการช่วยเหลือพนักงานที่สามารถเชื่อมโยงคุณกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มีประสบการณ์ในการจัดการความเครียด
Resource: https://health.clevelandclinic.org/work-life-balance/