“ยิว” และ “ญี่ปุ่น” คือสองชนชาติที่สร้างปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง ชาวยิวขึ้นชื่อว่ามีความคิดที่หลักแหลม มองการณ์ไกลและตัดสินใจได้เฉียบคม ส่วนชาวญี่ปุ่นก็มีความมุ่งมั่นจริงจัง ละเอียดรอบคอบ และมีจิตวิญญาณของนักสู้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสามารถคิดแบบชาวยิวและทำแบบชาวญี่ปุ่น?
เศรษฐีที่มีความสุข
รับผิดชอบชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่แบบ 100% ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองจะโทษคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด
ลืมเรื่องเงินไปซะ
อยากประสบความสำเร็จ จริง ๆ แล้วก็สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการตั้งเป้าหมายในชีวิตเพราะถ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองคืออะไรกันแน่เราก็จะสับสนในชีวิต
เพราะความสำเร็จเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้คนเรามีความสุขได้ ถ้าอยากประสบความสำเร็จและมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน เราต้องมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แล้วลืมเรื่องเงินกับเรื่องความสำเร็จไปซะ เพราะถ้ามัวแต่ยึดติดกับเรื่องเงินก็จะเป็นเศรษฐีที่มีความสุขไม่ได้
มองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง
คนที่ประสบความสำเร็จมองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง แต่คนทั่วไปไม่เป็นแบบนั้นพวกเขามองสิ่งต่าง ๆด้วยอคติ
ความหวาดกลัวค่านิยมหรือหลักการที่ไม่ถูกต้อง การรู้จักมองเนื้อแท้ของสิ่งต่าง ๆ ให้ออกคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จและมีความสุข
เคล็ดลับที่ 1 รู้จักกลไกของสังคม
คนส่วนมากพยายามกันเต็มที่ทั้งนั้นแหละถ้าทุกคนพยายามแล้วประสบความสำเร็จกันหมดโลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย
คนทั่วไปมักจะสนใจแต่เรื่องเงิน แต่ไม่เคยสนใจเรื่องผลงานของตัวเอง เลยไม่รวยสักที คนที่รักงานที่ตัวเองทำ จึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่คิดแต่เรื่องเงิน
ถ้าอยากประสบความสำเร็จและมีความสุขก็ต้องตัดสินใจทำงานที่ตัวเองชอบแล้วใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
เคล็ดลับที่ 2 รู้จักตัวเองและทำในสิ่งที่ชอบ
การทำสิ่งที่ชอบคือหนทางสู่ความสำเร็จและความสุข
ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ถนัด
คนเรามักเหมารวมว่าสิ่งที่ถนัดกับสิ่งที่ชอบนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักตื่นเต้นเวลาได้ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ความรู้สึกตื่นเต้นอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนว่ากำลังทำสิ่งที่ชอบ
แต่แรงจูงใจจริง ๆ ของพวกเขาไม่ใช่ความสุขที่ได้จากการทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เป็นความปรารถนาที่จะเป็นคนใหญ่คนโต สิ่งที่พวกเขาทำจึงเป็นสิ่งที่ถนัดไม่ใช่สิ่งที่ชอบ
สิ่งที่ชอบจะเป็นอะไรที่เรียบง่าย มันเป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกสนุกจนลืมเวลา ต่อให้ไม่ได้เงินหรือไม่ได้รับความชื่นชมจากคนรอบข้างก็ไม่เป็นไร
เคล็ดลับที่ 3 เพิ่มพลังสัญชาตญาณฝึกการมองคนและสิ่งต่าง ๆ ให้แตกฉาน
อ่านกระแสโชคชะตาและวงจรชีวิตของตัวเองให้ออกถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องดูให้แน่ชัดว่าชีวิตของตัวเองกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง และต้องรู้จักคาดการณ์ให้ได้ว่ากระแสสังคมจะเป็นอย่างไร กระแสเงินกำลังไหลไปที่ไหน คนที่เป็นเศรษฐีใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไปกับการอ่านกระแสนี่แหละ
เคล็ดลับที่ 4 ตระหนักถึงพลังของอารมณ์ความคิด
สิ่งที่เราคิดอยู่ประจำจะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา ชีวิตของคนเราจะดำเนินไปทางไหนขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำ ถ้าอยากมีชีวิตดีก็ต้องหมั่นคิดแต่เรื่องดี ๆ เข้าไว้ เพราะว่าคิดอะไรก็จะได้แบบนั้น
เคล็ดลับที่ 5 จงเป็นยอดนักขาย
ต้องทำอย่างไรถึงจะขายของได้ คนส่วนมากมักคิดว่างานขายเป็นงานที่ลำบาก แต่ความจริงแล้วมีแต่พนักงานขายที่ขายสินค้าไม่ได้เท่านั้นแหละที่รู้สึกลำบาก
เวลาเราขายสินค้าหรือบริการ เรามักจะได้รับคำขอบคุณและกำลังใจจากผู้คนอย่างจริงใจ ทำให้เรารู้สึกปลาบปลื้มยินดีแถมเรายังได้รับเงินเป็นสิ่งตอบแทนอีกด้วย นี่แหละคือวงจรชีวิตของคนที่ขายของได้
เคล็ดลับที่ 6 เป็นอัจฉริยะด้านการพูด
หากถ่ายทอดความคิดของตัวเองไม่เป็น ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ การเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารจึงเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จ การพูดที่ดีจะเหมือนมีพลังงานออกมาจากตัวคนพูด
ถ้ายิ่งถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกมาได้แจ่มแจ้งถึงขั้นที่คนฟังรู้สึกแบบเดียวกัน การพูดของเราก็จะมีพลังที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยทีเดียว
เคล็ดลับที่ 7 ใช้เครือข่ายคนรู้จักให้เกิดประโยชน์
คนทั่วไปมักคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือกุญแจสำคัญที่จะพาเราไปรู้จักกับคนที่เก่งและดี แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะว่าคนที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นคือคนที่รู้จักใช้มนุษยสัมพันธ์ให้เป็นประโยชน์
เพราะส่วนใหญ่แล้วโอกาสข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเงินมักเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้กับเรา ยิ่งถ้ามีคนรู้จักจำนวนมากคอยสนับสนุน เราก็จะประสบความสำเร็จเร็วขึ้นอีกหลายเท่า
เคล็ดลับที่ 8 เรียนรู้กฎของเงิน
ความสัมพันธ์ของคนเรากับเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือเป็นเจ้านายเงินกับเป็นทาสเงิน ที่แปลกคือทั้งที่เงินเป็นเรื่องสำคัญแต่กลับไม่มีการสอนเรื่องกฎของเงินในโรงเรียนเลย
อันที่จริงสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีในการบริหารเงินมีอยู่ 2 อย่างก็คือ ความรู้เรื่องเงินกับทัศนคติเรื่องเงิน กฎมีอยู่ว่าถ้าอยากมีเงินและมีความสุขก็ต้องรักษาสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ให้ได้ ที่คนส่วนใหญ่สร้างตัวเป็นเศรษฐีไม่ได้ก็เพราะไม่รู้กฎข้อนี้กันนี่แหละ
เคล็ดลับที่ 9 มีธุรกิจเป็นของตัวเอง
ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกพึงพอใจได้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้รับเงินมากเท่านั้น พนักงานขายในร้านจะได้รับรายได้ตามความสามารถในการขาย เจ้าของร้านจะได้รับรายได้ตามจำนวนเงินที่ลูกค้ายินดีจ่าย ส่วนเราก็รับรายได้จากการมอบสถานที่ทำงานให้และทำให้คนจำนวนมากพึงพอใจ เข้าใจว่ากระแสการไหลของเงินมีที่มาที่ไปยังไงเราก็จะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ไม่ยากนี่คือแก่นแท้ของธุรกิจ
เคล็ดลับที่ 10 ฝึกใช้ตะเกียงวิเศษของอะลาดินให้ชำนาญ
มีหลายเรื่องที่หวังไว้แล้วกลายเป็นจริงแต่บางเรื่องก็ไม่สมหวังนั่นแปลว่าเรายังไม่รู้วิธีที่ทำให้ฝันเป็นจริง
เคล็ดลับไม่ได้อยู่ที่การขอพร แต่อยู่ที่การถูตะเกียงอย่างถูกต้องต่างหาก
เคล็ดลับที่ 11 ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จก็คือการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ตามลำพังได้หรอก แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกก็ยังต้องพึ่งพาคนอื่นเลย
เคล็ดลับที่ 12 เข้าใจคุณค่าของการมีคู่ชีวิต
สัมพันธ์ที่ดีระหว่างสามีภรรยาเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการประสบความสำเร็จ
เคล็ดลับที่ 13 สร้างจิตสำนึกเศรษฐี
คือการมีจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งนั่นเอง เราต้องคิดว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและคนเราสามารถร่ำรวยขึ้นได้เรื่อย ๆ
เคล็ดลับที่ 14 กล้าตัดสินใจและลงมือทำ
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการตัดสินใจที่ดี คือการตัดสินใจอย่างทันท่วงที บางคนเป็นคนชอบผลัดวันประกันพรุ่งเลยติดนิสัยยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ แต่ตามหลักการนั้นเท่ากับว่าพวกเขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ตัดสินใจ ซึ่งถือเป็นกับดักที่อันตรายที่สุดในชีวิตเลย
เคล็ดลับที่ 15 รู้จักวิธีรับมือกับความล้มเหลว
สิ่งที่วัดว่าใครจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเคยล้มเหลว แต่คือกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความล้มเหลวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราล้มเลิกความตั้งใจ เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าตัวเองไม่มีทางประสบความสำเร็จนั่นแหละคือความล้มเหลว
เคล็ดลับที่ 16 มีความฝัน
การมีความฝันจะเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการประสบความสำเร็จและมีความสุข แต่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องไม่ลืมที่จะมีความฝัน
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มากหลงลืมความสำคัญของมันไป
เคล็ดลับที่ 17 ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันยังไง มีหลักการหนึ่งที่เชื่อว่ายิ่งเราจดจ่อกับสิ่งใดมากสิ่งนั้นจะยิ่งถูกดึงดูดเข้ามา แต่ถ้าว่าคนเรามักนึกถึงแต่สิ่งที่ตัวเองไม่อยากเจอ จนเรื่องเหล่านั้นกลายเป็นจริงในที่สุด