พี่คะ ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไร
นี่คือคำถามที่ฮอตฮิตประจำเพจTAXBugnoms
.
ขายของออนไลน์ ภาษีออนแอร์
หนังสือเล่มนี้ จะเปิดเผยทุกความลับ
เรื่องภาษีขายของออนไลน์ให้คุณรู้ว่า
สิ่งไหนควรทำและสิ่งไหนไม่ควรทำ
เพื่อให้คนทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ต้องห่วงหน้า
พะวงหลังกับเรื่องภาษีอีกต่อไป
.
ทั้งหมดนี้ผ่านการเรียบเรียงจากประสบการณ์
จริง และอ้างอิงตามหลักกฎหมาย เพื่อที่จะได้
นำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและถูกใจ
.
ยอมเสียเวลาทำความเข้าใจเรื่องภาษี
ดีกว่าเสียภาษีจนไม่เข้าใจว่า
ชีวิตนี้จะทำธุรกิจไปทำไม
.
1.AUDITION : ปรับพื้นฐานกันก่อนนะ
การขายของออนไลน์กับการเสียภาษี
สำหรับคนที่กำลังค้าขายอยู่บนโลกออนไลน์
รายได้ส่วนนี้ต้องเสียภาษีและการหลบหนี
ไม่จ่ายแปลว่าเราทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญ
กรมสรรพากรได้พยายามตรวจสอบ
อย่างเคร่งครัดเพื่อจัดการกับคนหนีภาษี
กลุ่มนี้อยู่ตั้งแต่ปี 2555
.
สรรพากรได้ให้ความหมายของคำว่า
ผู้ประกอบการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หมายถึงผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจ
ทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้า
และบริการโดยผ่านคอมพิวเตอร์
และระบบสื่อสารโทรคมนาคมหรือ
สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
.
ก่อนจะเข้าใจวิธีคำนวณภาษี
ขอให้ทำความเข้าใจตัวเองเสียก่อน
สิ่งสำคัญที่สุดเรื่องภาษีขายของออนไลน์
ไม่ใช่เรื่องภาษีแต่มันคือ บัญชีรายรับรายจ่าย
.
ทำไมถึงสำคัญ
ถ้าคุณทำธุรกิจแล้วไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าไหร่
คุณไม่ควรทำธุรกิจ
ถ้าคุณถูกสรรพากรเรียกตรวจ =
คุณพิสูจน์หลักฐานไม่ได้
.
บัญชีรายรับ-รายจ่ายควรใช้โปรแกรมอะไร
โปรแกรมอะไรก็ได้ที่สามารถแปลงไฟล์
ออกมาเป็น Excel หรือพิมพ์หลักฐานออกมาได้
บันทึกรายได้ค่าใช้จ่ายเป็นประจำทุกวัน
เหมือนที่เราบันทึกรายรับ-รายจ่ายส่วนตัว
.
ที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
คือการแยกบัญชีธุรกิจออกมาจากบัญชีส่วนตัว
เพราะเราต้องแยกให้ชัดว่า อะไรคือรายได้
และรายจ่ายของธุรกิจ ถ้าแยกไม่ได้
จะมีปัญหาแน่นอน เพราะสรรพากรอาจ
ประเมินเงินที่เข้าในบัญชีเราเป็นรายได้
ทั้งหมด และยิ่งถ้าไม่ทำบัญชี และไม่มี
หลักฐานด้วย เราไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้
.
จดทะเบียนพาณิชย์ VS จดทะเบียนภาษี
คนละเรื่องที่ไม่มีใครเคยบอก
การจดทะเบียนพาณิชย์ คือการจดทะเบียน
กับทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อยืนยันว่า
ธุรกิจเรามีตัวตน ถูกต้องตามกฎหมาย
เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ
.
ซึ่งมีทั้งการจดทะเบียนพาณิชย์ธรรมดา (ออฟไลน์)
กับการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(ขายของออนไลน์)
.
การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่ได้เกี่ยวกับการเสียภาษี
เพราะจะจดหรือไม่จด ถ้ามีรายได้…
เราก็ต้องเสียภาษีอยู่ดี
.
สิ่งที่ต้องจดจริงๆในเรื่องภาษีคือ จดทะเบียน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ถ้ามีรายได้ไม่ได้
รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเกิน 1.8 ล้านต่อปี
(รายได้ แปลว่ายังไม่หักค่าใช้จ่าย)
.
ขายของออนไลน์เสียภาษีอะไรบ้าง
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ ภาษีที่เรียกเก็บ
จากบุคคลธรรมดาได้แก่ คนธรรมดาอย่างเราๆ
และกลุ่มบุคคลอย่างคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วน
สามัญที่มิใช่นิติบุคคล ที่มีรายได้จากการขายของ
ออนไลน์ ต้องนำเงินได้จากในส่วนนี้
ไปรวมกับเงินอื่นๆ(ถ้ามี)
.
เมื่อเรามีรายได้จากการขายของออนไลน์
เรามีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด 94
(ภาษีครึ่งปี) ภายในเดือนกันยายนของทุกปี
และยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด 90 (ภาษีทั้งปี)
ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
.
ภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ภาษีที่เรียกเก็บจาก
บุคคลตามกฎหมายเช่น บริษัทห้างหุ้นส่วน
ที่จดทะเบียนในประเทศไทย หรือนิติบุคคล
ต่างประเทศที่มีสาขาในประเทศไทย
.
ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ
ต้องนำเงินรายได้จากการประกอบกิจการ
ในทุกๆที่มารวมคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสีย
ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้
ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี
แห่งประมวลผลรัษฎากร
.
นิติบุคคลมีรายได้จากการขายของออนไลน์
ต้องยื่นแบบแสดงรายการ ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภ.ง.ด 51 (ภาษีครึ่งปี) ภายใน2เดือนนับจาก
วันสุดท้ายของ6เดือนแรกของรอบระยะเวลา
บัญชี และยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด 50
(ภาษีทั้งปี) ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้าย
ของรอบระยะเวลาบัญชี
.
ภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่ง
ที่แยกออกจากภาษีทางตรง อย่างภาษีรายได้
บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
.
โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม คือผู้ประกอบการ
ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจ
หรือวิชาชีพในประเทศไทย หรือผู้นำเข้าสินค้า
ที่มีรายได้มากกว่า 1,800,000 บาทต่อปี
จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดทำรายงานภาษีขาย
รายงานภาษีซื้อ และยื่นแบบแสดงรายการภาษี
มูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
.
2.ONAIR : พร้อมลุยมานานแล้ว
ตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
กรณีขายของออนไลน์ (ซื้อมา-ขายไป)
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นมี 2 วิธี
เรียกว่าเงินได้สุทธิกับเงินได้พึงประมาณ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
เงินได้สุทธิ = รายได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน
และอัตราภาษีจะเป็นแบบก้าวหน้า (5 – 35%)
นั่นคือยิ่งมีรายได้มากยิ่งเสียภาษีมาก
เงินได้พึงประมาณ x 0.5%
เงินได้พึงประมาณ = เงินได้ทั้งก้อนก่อนหัก
ค่าใช้จ่าย สำหรับวิธีนี้จะเอารายได้มาคูณตรงๆ
โดยจะใช้วิธีนี้คำนวณภาษี เมื่อรายได้ที่ไม่ใช่
เงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1 หรือ มาตรา 40(1))
เกิน 1 ล้านบาท
.
ส่วนค่าใช้จ่ายในกรณีที่เราทำธุรกิจ
ขายของออนไลน์ในรูปแบบซื้อมาขายไป
สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบคือ
หักเหมา 60%
หักค่าใช้จ่ายตามจริง
.
โดยการหักค่าใช้จ่ายตามจริง สิ่งที่มีคือ
หลักฐานเอกสารต่างๆที่พิสูจน์ได้ตามยอด
ค่าใช้จ่ายที่เอามาหักตามกฎหมาย
.
ส่วนค่าลดหย่อน เป็นอีกตัวจะช่วยให้เรา
ลดจำนวนเงินได้สุทธิลงได้ และทำให้เรา
เสียภาษีน้อยลง ถ้าเรามีค่าลดหย่อนเยอะ
หรือมีจำนวนที่สูง เราจะสามารถลดหย่อนภาษี
ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
.
ภาษีมูลค่าเพิ่มกับการขายของออนไลน์
เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มโดยหลักการคือ ถ้าเรามี
รายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปีเมื่อไหร่เราต้อง
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันที
.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่ผลักภาระให้กับผู้ซื้อ
หรือผู้บริโภคเป็นผู้ชำระแทนได้
.
ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มมี 3 กลุ่มคือ
ผู้ขายสินค้า
ผู้ให้บริการ
ผู้นำเข้า
.
สำหรับคนทำธุรกิจวิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มคือ
ภาษีขาย คือภาษีที่เราเรียกเก็บจากผู้ซื้อ
สินค้าหรือรับบริการ
ภาษีซื้อ คือภาษีที่เราจ่ายให้ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ
.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เจ้าของธุรกิจมีหน้าที่ต้อง
คำนวณทุกเดือน หักภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ
ก็ให้จ่ายกรมสรรพากรหักภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
ก็สามารถยกยอดไปได้ในเดือนต่อไป
หรือขอคืนได้ในแต่ละเดือน
.
แบบเข้าใจง่ายๆปัจจุบันอยู่ที่ 7%
แต่อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจริงๆอยู่ที่ 10%
.
ถ้าเอาแบบซับซ้อน ภาษีมูลค่าเพิ่มจริงๆคือ 6.3%
และเรายังต้องเสียภาษีอัตราท้องถิ่นอีก
1/9ของอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 0.7%
สรุปว่าเราเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นั่นแหละ
.
ภาษีมูลค่าเพิ่มต้องยื่นเป็นรายเดือน
คำนวณยอดทุกเดือนเพื่อนำมาส่งสรรพากร
ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
.
วางแผนเรื่องซื้อ/ค่าใช้จ่ายอย่างไรดี
เริ่มต้นแนวคิดนี้จากการแยกผู้ขาย
ออกเป็น 3 กลุ่มคือ
กลุ่มที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วทำถูกต้อง
เราจะมีกำไร 100 บาท และนำภาษีมูลค่าเพิ่ม
ส่วนต่างจำนวน 7 บาทให้กับสรรพากร
กลุ่มที่ไม่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่ม
เราจะมีกำไร 100 บาทเท่าเดิม แต่เพิ่มเติม
คือเราต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 14 บาท
ให้กับกรมสรรพากรแทน เพราะตอนซื้อมาเรา
ไม่มีภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย
กลุ่มที่หนีภาษีมูลค่าเพิ่ม
เราจะได้ราคา 100 บาทมาเป็นต้นทุน
แต่ปัญหาคือไม่เอาภาษีมูลค่าเพิ่ม
ก็ย่อมที่จะไม่ออกบิล หรือหลักฐาน
การซื้อสินค้าให้ตามไปด้วย
.
นั่นแปลว่าเราจะไม่มีหลักฐานต้นทุน 100 บาท
มาเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้
(ค่าใช้จ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ =
ไม่สามารถเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี)
.
ทำให้กำไรทางภาษีกลายเป็น 200 บาท
และถ้าเราขายแบบมีมูลค่าเพิ่มไป ก็ต้องนำส่ง
ภาษีให้กรมสรรพากรจำนวน 14 บาท
เหมือนกลุ่มที่ 2
.
สรุป…ขายของออนไลน์เสียภาษีอะไร
หลักการเริ่มที่ “ภาษีเงินได้”
1. ภาษีเงินได้วิธีคำนวณที่ใช้ประจำคือ
เงินได้สุทธิ × อัตราภาษี
2. เงินได้สุทธิมาจาก
รายได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน
3. เราต้องรู้ว่า รายได้เรามีเท่าไหร่ = ต้องมีข้อมูล
4. เราต้องรู้ว่า ค่าใช้จ่ายเรามีหลักฐานไหม
หรือหักเหมา 60% ได้หรือเปล่า
5. เราต้องรู้ว่า เรามีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีอะไรบ้าง
6. ยิ่งเงินได้สุทธิน้อย = เสียภาษีน้อย
7. เสียปีละ 2 ครั้ง ยื่นครึ่งปี กับ เต็มปี
.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. ภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องเสียเมื่อรายได้
เข้าเงื่อนไข 2 ข้อนี้นั่นคือ
1.8 ล้านบาทต่อปี
ธุรกิจเราไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. ขายของออนไลน์ส่วนใหญ่ต้องเสียภาษี
มูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ไม่ได้ยกเว้น
3. เริ่มจากภาษีขายคือ คิดเพิ่ม 7% จากยอดขาย
4. ถ้าเราบวกราคาเพิ่มให้ลูกค้าไม่ได้ แปลว่า
จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
5. ถ้าจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เวลาซื้ออย่าลืม
ขอใบกำกับภาษี เพราะจะเอามาหักได้
6. เวลาเราซื้อ เราจะมีภาษีซื้อ เวลาขาย
เราจะต้องออกภาษีขาย
7. ทุกเดือนให้เราเอา ภาษีขาย – ภาษีซื้อ =
ยอดที่ต้องส่งสรรพากร
8. ถ้าเดือนไหนยอดภาษีซื้อมากกว่าขาย
ก็ขอคืนได้ หรือจะยกยอดไปใช้เดือนต่อไปได้
3.DECISION : ตัดสินใจไปต่อ
ขายของออนไลน์ เริ่มต้นยังไงดี ถ้าไม่อยาก
ให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากร
ธนาคารมีหน้าที่สรุปข้อมูลบัญชีทั้งหมด
ของลูกค้าที่ตัวเองมีในแต่ละปี ที่เข้าเงื่อนไข
ต่อไปมีให้กับสรรพากร
ยอดเงินเข้า “ตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไป”
และยอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไป
ยอดเงินเข้า “ตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป
ไม่รวมจำนวนเงิน”
.
การไม่ถูกส่งข้อมูลให้สรรพากรไม่ได้แปลว่า
เราจะไม่ถูกตรวจสอบ การถูกส่งข้อมูล
ให้กรมสรรพากรนั้นมันไม่ได้แปลว่า
เราเสียภาษีไม่ถูกต้อง
.
ถ้าหากค่าใช้จ่ายจริง ในการคำนวณ
ต้องทำอย่างไร
การหักค่าใช้จ่ายจริงในการคำนวณภาษีนั้น
สามารถใช้กับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
โดยทั้งสองกลุ่มต้องมีเงื่อนไขดังนี้
บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ประเภทที่ 5-8
ที่สามารถเลือกหักภาษีได้จริง บุคคลธรรมดา
ที่มีเงินได้ประเภทที่ 8 ที่กฎหมายไม่ได้ให้
ทางเลือกในการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาไว้
(การขายของออนไลน์โดยปกติจะถือเป็น
เงินได้ประเภทที่ 8 ตามกฎหมาย)
นิติบุคคลต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
จะกำไรสุทธิ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายจริง
ในการคำนวณภาษี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็น
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการและไม่เป็น
ค่าใช้จ่ายที่ต้องห้ามตามหลักของกฎหมาย
(มาตรา 65 ตรี)
.
วิธีสร้างหลักฐานค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง
ที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีและ
ไม่มีปัญหากับสรรพากร
แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจากเอกสารสรรพากร
โดยตรงคือ คู่มือการจัดทำเอกสารประกอบการ
ลงบัญชี ที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้
เพราะคู่มือนี้จะระบุไว้ชัดเจน
.
หลักฐานที่กรมสรรพากรให้ถือว่าเป็นรายจ่ายนั้น
จะมีอยู่ 3 ประเภทคือ
ใบรับเงินหรือใบเสร็จรับเงิน
ที่ผู้รับเงินเป็นผู้ออกให้ เอกสารนี้ถือว่า
เป็นเอกสารที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด
เพราะเป็นหลักฐานที่ได้รับจากบุคคลภายนอก
ไม่ได้จัดทำขึ้นเองจากภายในธุรกิจ
ใบสำคัญรับเงิน
ที่มีหลักฐานลายเซ็นผู้รับเงิน โดยควรแนบ
สำเนาบัตรประชาชนที่ถูกต้องของผู้รับเงิน
ตรงนี้เป็นเอกสารอีกฉบับที่กรมสรรพากร
รับรองว่าเป็นหลักฐานค่าใช้จ่ายได้
ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน
เป็นเอกสารภายในกิจการ จัดทำโดยพนักงาน
ที่เอามาเบิกจ่ายและมีการอนุมัติโดยผู้เกี่ยวข้อง
อันนี้เป็นหลักฐานที่จัดทำขึ้นภายในเหมือนกัน
แต่เบิกเองโดยคนในไม่มีหลักฐาน
ที่ได้รับจากบุคคลภายนอก
.
องค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้สามารถ
เป็นรายจ่ายที่สรรพากรยอมรับได้นั้นมีอยู่
3 องค์ประกอบสำคัญดังนี้
ชี้แจงได้ ว่าจ่ายให้ใคร(ผู้รับ) และใช้วิธีไหน
(การจ่ายผ่านธนาคาร โอนเงิน หรือ
เช็คที่น่าเชื่อถือกว่าเงินสด)
จ่ายถูกต้อง หักภาษีไว้ไหม เป็นประเด็นแฝง
คือเงินที่จ่ายครบถ้วนถูกต้อง และผู้จ่าย
ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ไหมตามหน้าที่
ที่กฎหมายกำหนด(ในกรณีที่ต้องมีการหัก
ภาษี ณ ที่จ่ายไว้)
หลักฐานพิสูจน์การจ่าย ต้องหามาให้ได้
เพื่อพิสูจน์การได้รับเงินและจ่ายเงินจริง
.
กำไรเท่านี้จดบริษัทเลยดีไหม
แนวคิดเพื่อการตัดสินใจเปลี่ยนจากรูปแบบ
บุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล
รายได้ธุรกิจเราเยอะไหม
รายได้มาก สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือ
รายได้เยอะยิ่งควรจะจดบริษัทหรือ
เป็นนิติบุคคล เพราะมันมีผลกระทบ
ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการ ความน่าเชื่อถือ
และจำเป็นที่เราต้องมีข้อมูลบัญชีที่ถูกต้อง
ในการตัดสินใจ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีหลักฐานไหม
การทำธุรกิจของเราไม่มีหลักการค่าใช้จ่าย
ต่างๆเนื่องจากธุรกิจเราทำกับรายย่อย
และเราอาจจะมองว่าไม่คิดจะเติบโต
สร้างระบบมากกว่านี้เพื่อให้มีเอกสารหลักฐาน
แถมยังมองว่าการเป็นบุคคลธรรมดา
เราสามารถเลือกหักภาษีค่าใช้จ่าย 60%
แบบเหมาได้ด้วย แบบนี้เห็นได้ว่าการเป็น
บุคคลธรรมดาเหมือนเดิมอาจเป็น
คำตอบที่ตามหาก็ได้
อนาคตธุรกิจเติบโตแค่ไหน
ถ้ามั่นใจว่าเติบโตและยิ่งใหญ่แบบนี้ก็
จดนิติบุคคลไปเลย เพราะยังไงก็ต้องจดอยู่ดี
ข้อดีของการจดนิติบุคคลไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
จะทำให้เราเห็นภาพรวมตั้งแต่การเริ่มต้น
จนเติบโต ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของภาษี
ธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
มีหุ้นส่วนไหมหรือตั้งใจจะมีอยู่แล้ว
ถ้าสมมุติว่ามีหุ้นส่วนที่ช่วยกันทำมา
การทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา
น่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะแบ่งสรร
กันลำบาก กระจายรายได้อาจจะโดนสรรพากร
ตรวจสอบได้ ถ้าจะเลือกเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ
แบบบุคคลธรรมดา อาจจะมีปัญหาเรื่อง
แบ่งกำไรเสียภาษีซ้ำซ้อนด้วย
พร้อมเข้าระบบอย่างถูกต้องไหม
ถ้าพร้อมเข้าระบบเสียภาษีอย่างถูกต้อง
การเป็นนิติบุคคลมีประโยชน์มากกว่า
จากนโยบายรับส่วนใหญ่ที่ให้การสนับสนุน
ในช่วงที่ผ่านมา เช่น นโยบายบัญชีเดียว
หรือแม้แต่เรื่องของการได้รับสิทธิ์หักค่าใช้จ่าย
ต่างๆที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอด
ไปถึงเรื่องการลงทุนขอสินเชื่อต่างๆ
ง่ายกว่าบุคคลธรรมดา
เจ้าของธุรกิจเข้าใจหน้าที่และหลักการ
หรือยังเจ้าของธุรกิจเข้าใจหน้าที่
และหลักการหรือยัง
ข้อสุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่ย้ำว่าถ้าเจ้าของธุรกิจ
เข้าใจหน้าที่ของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับภาษี
ว่ามีอะไรบ้าง รูปแบบที่ต่างกันมีอะไร
ต้องจัดทำเพิ่มบ้าง และหลักฐานต่างๆ
ที่เราใช้พิจารณาเพื่อเลือกสถานะว่าจะเป็น
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลดีกว่ากัน
.
เปรียบเทียบครกจบที่เดียว!! ระหว่าง
“ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” กับ “ภาษีเงินได้นิติบุคคล”
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้การคำนวณ
2 วิธี เปรียบเทียบกันแล้วเสียภาษีตามวิธี
คำนวณได้มากกว่าคือ
เงินได้สุทธิ = (เงินได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน)
×อัตราภาษี
เงินได้พึงประเมิน = เงินได้ทุกประเภทรวมกัน
(ไม่รวมเงินได้ประเภทที่ 1)× 0.5%
ภาษีเงินได้นิติบุคคล วิธีคำนวณภาษี
ของนิติบุคคลมีหลายแบบ แต่สำหรับนิติบุคคล
ปกติที่จดทะเบียนในไทย หรือบริษัท
ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ
จดทะเบียน จะใช้วิธีการคำนวณที่เรียกว่า
“กำไรสุทธิ”มาจาก(รายได้-ค่าใช้จ่าย)×อัตราภาษี
.
ประเด็นสำคัญที่ต้องระวังคือ “รายได้” และ
“ค่าใช้จ่าย” ที่ว่าจะต้องเป็น “รายได้และ
ค่าใช้จ่ายทางภาษี”
.
โดยจะใช้วิธีการปรับปรุงจากกำไรทางบัญชี
ที่ได้มา แล้วค่อยนำมาคูณอัตราภาษี
.
4.ENCORE : กรณีศึกษา
เน็ตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์เสียภาษีอย่างไร
เน็ตไอดอลเสียภาษีอย่างไร
รายได้จากการเขียน: ส่วนใหญ่จะเป็น
งาน Review หรือ Advertorial หรือ
Sponser post ในแฟนเพจ ทวิตเตอร์
อินสตาแกรม ต่างๆ ถือว่าเป็นรายได้
ประเภทที่ 2 ตามกฎหมาย (คืองานรับจ้าง
เหมือนกับฟรีแลนซ์ทั่วไป)
รายได้จากการขาย: แนวขายของ ครีม
ยา อาหารเสริม วิตามิน โดยปกติจะถือเป็น
รูปแบบของการซื้อมา-ขายไปมากกว่า
ประเภทอื่น ถือเป็นรายได้ประเภทที่ 8
ตามกฎหมาย และใช้วิธีคำนวณภาษี
เหมือนกับการขายของออนไลน์
รายได้จากการโชว์: แนวอีเวนต์หรือ
ออกงาน ต้องแยกให้ดีว่าเป็นงานโชว์
ประเภทไหน ถ้าไปร่วมงานธรรมดา
หรือโชว์ตัวทั่วไป แบบนี้ถือเป็นรายได้
ประเภทที่ 2 ตามกฎหมาย(งานจ้าง)
หลักการคำนวณจะเหมือนกับ
รายได้จากการเขียน
.
มีบางกรณีสำหรับเน็ตไอดอลที่โด่งดัง
หรืองานใหญ่ขึ้น จนกลายสภาพเป็นนักแสดง
สาธารณะ แบบนี้เป็นรายได้ประเภทที่ 8 แทน
.
ยูทูบเบอร์ เสียภาษีอย่างไร
เรามีรายได้จากการทำงาน ต้องเสียภาษี
อยู่แล้ว ถามต่อว่ารายได้ที่ว่านั้น
เป็นประเภทไหนตามกฎหมาย
หลักการเขียนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
บ้านเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาชีพที่เขาทำ
เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ลักษณะของ
รายได้ที่ได้มามากกว่าเป็นประเภทไหน
ตามกฎหมายกำหนดไว้
ยูทูบเบอร์จะมีรายได้หลักๆ 2 ทางคือ
1. Google Adsense รายได้โฆษณา
แนวทางการตีความตอนนี้คือ เงินได้ประเภท
ที่ 8 ตามกฎหมาย ที่ต้องหักค่าใช้จ่าย
ตามจริงได้เท่านั้น
2. สำหรับงานอื่นๆเช่น Advertorial
งานจ้าง งานเขียนรีวิว ก็ใช้หลักการเดียวกัน
กับเน็ตไอดอลตามวิธีการคำนวณข้างต้น
คือ เป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หรือ 8 ก็ได้
ขึ้นอยู่กับลงทุนลงแรงในการทำงาน
.
สิ่งสำคัญของกรณีนี้อยู่ที่การพิสูจน์ต้นทุน
ในการทำงาน หากเรามีต้นทุนที่ทำให้
กรมสรรพากรเชื่อได้ว่ามีการลงทุนลงแรงจริง
และมีหลักฐานการใช้จ่ายที่พิสูจน์ได้
ตรงนี้จะทำให้เราหักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
.
หรือถ้ามองว่ามีรายได้เยอะมาก ก็เลือกทำธุรกิจ
ในแบบนิติบุคคลแทน ซึ่งจะสามารถหักค่าใช้จ่าย
ต่างๆได้เป็นระบบมากกว่า ยูทูบเบอร์หลายๆ
คนในประเทศก็เลือกวิธีนี้
.
คู่มือภาษีของคนขายออนไลน์ทุกคนควรอ่าน
เคลียร์ชัดทุกประเภทรายได้ออนไลน์ที่คุณมี