ถ้าคุณขายของไม่เก่ง ถ้าคุณไม่รู้จะขายอะไรดี ถ้าคุณมีของแต่ขายไม่ได้สักที ถ้าคุณไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร ลองกลับมาศึกษาเรื่อง การตลาด ดีไหม เราสรุปหนังสือเล่มนี้มาให้แล้วแชร์เก็บไว้อ่านกันได้เลยอยากอัพเดตความรู้แบบนี้ติดตามเพจเราไว้ได้เลย 5 วิธีที่ช่วยให้กลายเป็นคนที่รู้ว่า “จากนี้ไปอะไรที่ขายได้”
เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมีแค่ความรู้เรื่อง การตลาด นั้นไม่เพียงพออีกต่อไปแต่ยังต้องมี “เซนส์การตลาด” หนังสือเล่มนี้จะฝึกให้คุณสามารถใช้สัญชาตญาณควบคู่ไปกับการคิดพิจารณาตามหลักเหตุผล เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นได้ก่อนใครว่า อะไรที่จะขายได้ การมีหรือไม่มีเซนส์การตลาดจะทำให้เรามองสิ่งของ คนและสภาพแวดล้อมเดียวกันด้วยมุมมองที่ต่างกัน
โดยบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่สังคมต่อจากนี้ต้องการอย่างมากเท่ากับว่านั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ขายได้แต่บางคนอาจมองว่า ไม่น่าจะขายได้เราเรียกสิ่งนี้ว่าความสามารถในการตระหนักถึงคุณค่าที่ขายได้เซนส์การตลาดคือความสามารถในการจินตนาการสถานการณ์ซื้อขายสินค้าและบริการได้ชัดเจนเรามีวิธีหาคำตอบที่แตกต่างกันอยู่ 2 วิธีด้วยกัน
- วิธีที่ 1 คือการแยกย่อยข้อมูลเป็นส่วน ๆ แล้วค่อยคิดพิจารณาตามหลักเหตุผลไปทีละส่วน
- วิธีที่ 2 คือการใช้เซนส์การตลาดอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจินตนาการสถานการณ์จริง พร้อมกับคิดพิจารณาไปด้วยสิ่งที่ต้องพิจารณามีดังนี้
1.ตลาด (market)
ตลาด (market) คือ สถานที่ที่มีผู้ซื้อ (ผู้บริโภค)และผู้ขาย (ผู้ผลิต)จำนวนมากสามารถจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อเติมเต็มความต้องการของกันและกันเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนคุณค่า (สินค้าหรือบริการ)คุณค่าคือ การจำแนกคุณค่าด้วยการคิดพิจารณาตามหลักเหตุผลแล้วทำการแลกเปลี่ยนคุณค่า
เซนส์การตลาดเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกคนบางคนสามารถใช้หลักเหตุผลคิดพิจารณาเรื่องที่เป็นนามธรรมหรือเรื่องที่ซับซ้อนได้และบางคนแม้จะไม่เข้าใจเหตุผลแต่ก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้ในพริบตาด้วยสัญชาตญาณที่เฉียบคม
แต่ว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นก็คือคนส่วนใหญ่ของสังคมการฝึกคิดพิจารณาตามหลักเหตุผลควบคู่ไปด้วยกับการเพิ่มเซนส์การตลาดจะทำให้เราสามารถหาคำตอบได้ทั้งสองทาง ส่งผลให้เราสามารถคิดพิจารณาได้มากขึ้น
2.สังคมที่แปรสภาพเป็นตลาด
การแปรสภาพเป็นตลาดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับบางสังคมอย่าง เช่น สังคมการค้าระหว่างประเทศที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดหรือสังคมการประเมินพนักงานที่เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าระยะเวลาการทำงาน
แม้แต่การหาคู่แต่งงานก็แปรสภาพเป็นตลาดสมัยก่อนพ่อแม่มักจะไหว้วานคุณป้าข้างบ้านให้ช่วยแนะนำคู่แต่งงานดี ๆ ให้ลูกชายตัวเองคนที่แต่งงานผ่านแม่สื่อเช่นนี้จึงมีอยู่มากกว่าครึ่งของสังคมนี่คือการซื้อขายนอกตลาดอย่างแท้จริง ต่อมามีคนก่อตั้งบริษัท เพื่อให้บริการข้อมูลเพื่อการแต่งงาน
เพียงแค่ป้อนข้อมูลส่วนตัวลงไปในคอมพิวเตอร์ของบริษัทก็จะเริ่มจับคู่ได้ทันท นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้การหาคู่แต่งงานแปรสภาพเป็นตลาดส่วนยุคการหาคู่แต่งงานด้วยการซื้อขายนอกตลาดเป็นการดูตัวกับคนที่ได้รับการแนะนำจากคนใกล้ชิดแล้วแต่งงานกันได้สิ้นสุดลง
และเข้าสู่ยุคของการซื้อขายในตลาดโดยคนหนุ่มสาวที่อยากแต่งงานจะมารวมตัวกันอยู่ที่ไหนสักแห่งเช่นเว็บไซต์ บริการ และพื้นฐานข้อมูลเพื่อหาคู่แต่งงานจากทั่วประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นการหางานหรือการหาคู่แต่งงานการกระทำความเข้าใจเรื่องตลาดและมีการปรับตัวให้เข้ากับระบบของตลาด(คือการมีเซนส์การตลาด)ถือเป็นสิ่งสำคัญ
แนวคิดของอินเทอร์เน็ตผลักดันให้การตลาดเติบโตเร็วขึ้น ผลักดันให้สังคมแปรสภาพเป็นตลาดเช่นกันเพราะโลกอินเตอร์เน็ตพยายามตั้งกฎเกณฑ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้และจำกัดพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาด้วยการ “เปิดโปงความผิดรายบุคคล” อินเตอร์เน็ตยังก้าวข้ามกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยประเทศต่าง ๆอย่างง่ายดาย แม้ว่ายูทูบจะมีคลิปวีดีโอที่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์อยู่เกลื่อนกลาด ตำรวจญี่ปุ่นไม่ได้ฟ้องร้องกูเกิล แต่แค่ส่งคำร้องให้ยูทูบลบคลิปวีดีโอที่ถูกร้องเรียนว่าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือระงับบัญชีผู้ใช้งานที่อัพโหลดคลิปวีดีโอที่ผิดกฎหมายเหล่านั้น
กฎพื้นฐานของโลกอินเทอร์เน็ตคือ”เปิดโปงความผิดรายบุคคลไม่ใช่ตั้งกฎเกณฑ์มาควบคุมระบบ”แม้หน่วยงานของญี่ปุ่นจะสามารถฟ้องร้องนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวญี่ปุ่นได้แต่ถ้าเป็นบริการที่แพร่หลายไปทั่วโลกหน่วยงานของญี่ปุ่นก็จำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ของโลกอินเตอร์เน็ตเช่นกัน โลกเชื่อมโยงถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตหากติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติหรือธุรกิจต่างชาติเพิ่มมากขึ้นสังคมญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่ามีกฎเกณฑ์เยอะที่สุดในโลก(ระบบการซื้อขายนอกตลาด)ก็คงได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
ดังนั้นคนญี่ปุ่นต้องเตรียมใจว่า”สังคมต่อจากนี้จะแปรสภาพเป็นตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆและหลีกหนีจากเรื่องนี้ไม่พ้น” เซนส์การตลาดเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาอาชีพทุกสาขาอาชีพ โดยทั่วไปตลาดจะเป็นตัวกำหนดจำนวนอุปทานของอาชีพต่าง ๆ ตัวอย่างเช่นถ้าธุรกิจของวงการรถยนต์กำลังเฟื่องฟูผู้ผลิตรถยนต์ก็จะจ้างช่างเทคนิคจำนวนมากส่งผลให้วิศวกรยานยนต์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น พูดง่ายๆก็คือ ความต้องการรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดผลักดันให้ความต้องการช่างเทคนิคเพิ่มตามไปด้วย
ในการพัฒนาอาชีพท่ามกลางสังคมที่แปรสภาพเป็นตลาด สิ่งสำคัญที่สุดคือ เซนส์การตลาดที่ช่วยให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดได้อย่างรวดเร็วและความยืดหยุ่นในการตัดสินใจก็คือความสามารถในการตัดสินใจเปลี่ยนสาขาอาชีพกับทักษะของตัวเองโดยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
3.วิธีมองโลกจะเปลี่ยนไปเมื่อมีเซนส์การตลาด
เปลี่ยนลำดับความสำคัญของสิ่งที่ควรทำในชีวิตและบางครั้งถึงขั้นเปลี่ยนวิธีการทำงานวิธีการดำเนินชีวิต รวมถึงแนวทางการเลี้ยงลูก ทำความเข้าใจ “โครงสร้างแบบซ้อน”ของตลาด ในตลาดอุปโภคบริโภคธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตสินค้าร้านอาหาร ร้านค้าปลีก หรือบริษัทโทรคมนาคมต่างก็แข่งขันแย่งชิงรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (DPI)ของผู้บริโภคธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการมักใส่ใจกับตลาดนี้เพียงตลาดเดียว
การแข่งขันระหว่าง”ตลาดอุปโภคบริโภค(ตลาดใช้เงิน)”และ “ตลาดออมเงิน”ในการแข่งขันทั้งสองตลาดจะแข่งกันแย่งชิงเงินของผู้คนตลาดมีเงินหมุนเวียน
เช่นนี้จะมีโครงสร้างแบบซ้อน(Nested Structure)โดยตลาดจะซ้อนกันหลายชั้น
ในการแข่งขันของตลาดชั้นบนสถาบันการเงินต่าง ๆ จะพยายามดึงเงินจากตลาดอุปโภคบริโภคมาสู่ตลาดออมเงินด้วยการปลุกเร้าว่า”ชีวิตหลังเกษียณที่สุขสบายจำเป็นต้องมีเงินหลายสิบล้านเยน” หรือ “การเลี้ยงลูก 1 คน
จำเป็นต้องใช้เงินหลายสิบล้านเยน” นี่เป็นการสื่อประชาสัมพันธ์ของตลาดออมเงิน เพื่อชักจูงให้คนหันมาออมเงินมากขึ้น
ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องขัดเกลาเซนส์การตลาดของตัวเองเพื่อให้ได้รับรู้อย่างรวดเร็วว่าสถานการณ์ของตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและการตัดสินใจด้วยตัวเองได้ว่าควรเคลื่อนไหวอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์
4.ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจาก “คุณค่า”
ถือเป็นหัวใจสำคัญของเซนส์การตลาดทักษะการประเมินคุณค่าของสิ่งที่ทำการซื้อขายในตลาดได้อย่างถูกต้อง “คุณค่าที่ทำการซื้อขายในตลาด”เราคงนึกถึงสินค้าที่จับต้องได้อย่างอาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า
โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ไม่ก็บริการของโรงแรม ร้านอาหารโรงเรียน และโรงพยาบาลสิ่งเหล่านี้เป็น “คุณค่าแบบดั้งเดิม”ที่ทำการซื้อขายในตลาดมาช้านานแล้ว
ปัจจุบันประเทศทุนนิยมที่มีการพัฒนาขั้นสูงซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นด้วยสิ่งที่ไม่เคยถูกมองว่ามีคุณค่ามาก่อนอย่างการแสดงความคิดเห็นหน้า TVมีคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้อดีของการฝึกฝนเซนส์การตลาดคือ เราจะรับรู้เกี่ยวกับ “คุณค่าที่แปลกใหม่”ได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนคุณค่าให้เป็นเงินคือระเบียบวิถีและโนว์ฮาวเช่นเดียวกับการตลาดขณะที่การประเมินคุณค่าเป็นความสามารถของตัวเราเอง ตอนนี้บางสิ่งจะยังไม่ถูกประเมินคุณค่า
หรือไม่ทำเงินเลยก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าหรือไม่ มีคุณค่าแบบไหนและใครพึงพอใจคุณค่านั้นมากที่สุด
เมื่อเข้าสู่ยุคที่สามารถขาย”ทักษะการประเมินของ AI”ได้”การช่วยเลือกให้” จะมีคุณค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสินค้า การใช้ AI ให้เป็นประโยชน์เราก็สามารถขาย “ทักษะการประเมิน”สินค้าได้ทุกชนิด ตัวอย่างเช่นถ้าให้คนขายวัตถุโบราณช่วยแยกภาพวัตถุโบราณที่เป็น”ของจริง” และ “ของปลอม”ออกจากกัน แล้วนำทักษะการประเมินของเขาใส่ลงไปในโปรแกรมAI เมื่อผู้ซื้อที่ไม่มีความรู้เรื่องวัตถุโบราณใช้แอพพลิเคชั่นก็จะสามารถซื้อวัตถุโบราณได้โดยไม่ต้องกังวล
เมื่อพบจานหรือไหที่ถูกใจในร้านขายวัตถุโบราณ ถ้าเราสามารถถ่ายรูปสิ่งนั้นด้วยสมาร์ทโฟนแล้วให้โปรแกรมAI ที่ผ่านการเรียนรู้ทักษะการประเมินจากคนขายวัตถุโบราณช่วยประเมินว่ามีโอกาสเป็นของจริงกี่เปอร์เซ็นต์มันคงจะทำให้สะดวกมากทีเดียว
5.วิธีเพิ่มเซนส์การตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
1.ฝึกฝนทักษะการตั้งราคา
เริ่มจากการหาเกณฑ์ส่วนตัวในการประเมินคุณค่าเพื่อช่วยให้ค้นพบ “คุณค่าแฝง”ที่ยังไม่ถูกซื้อขายในตลาดและไม่มีป้ายราคาติดไว้ถ้ายังไม่มีเกณฑ์ส่วนตัวในการประเมินคุณค่าก็จะยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าสินค้าเป็นอย่างไหน “สิ่งนี้มีคุณค่ามหาศาล”หรือ “สิ่งนี้มีคุณค่าน้อย” ถือว่าคุณไม่มีเซนส์การตลาด
สิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีคือความสามารถในการตระหนักถึงคุณค่าที่แปลกใหม่อย่าง”การช่วยเลือกให้” หรือ “การสร้างความประทับใจ” วิธีที่ดีที่สุด คือการลองตั้งราคา (Pricing)ให้กับสิ่งที่มีป้ายราคาติดไว้แล้วด้วยเกณฑ์ของตัวเอง คุณจะขายหรือซื้อสินค้านั้นที่ราคาเท่าไหร่ ?
2.ทำความเข้าใจระบบแรงจูงใจ
คือ การทำความเข้าใจปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการกระทำหรือคำพูดบางอย่างของมนุษย์ “ระบบแรงจูงใจ”(lncentive System)เป็นระบบที่เชื่อมโยงปัจจัยเหล่านั้นเข้ากับการกระทำหรือคำพูดของมนุษย์ ระบบแรงจูงใจคือ การทำหรือพูดตามปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจเช่นถ้าห้อยแครอตไว้ตรงหน้าม้าเพื่อเป็นแรงจูงใจ ม้าก็จะวิ่งไปข้างหน้า การกระทำและคำพูดของคนเราต้องมีเหตุผลรองรับเสมอ เวลาเด็กโกรธหรือร้องไห้แค่ยื่นไอศกรีมให้หนึ่งแท่งก็คงกลับมายิ้มได้แล้วแต่ระบบแรงจูงใจของผู้ใหญ่ไม่เรียบง่ายแบบที่ว่า”ได้ของที่อยากได้=อารมณ์ดี”
เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจลำดับเหตุการณ์อันซับซ้อนที่เชื่อมโยงแรงจูงใจไปสู่การกระทำพร้อมพิจารณาสถานการณ์และนิสัยของอีกฝ่าย โดยนำปัจจัยหลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน หรือใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมบางอย่างในการเพิ่มเซนส์การตลาด เราต้องเข้าใจระบบแรงจูงใจที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างถ่องแท้ เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดจะทำอย่างไรต่อไปและทำบนพื้นฐานความคิดแบบไหน
3.เรียนรู้วิธีที่ทำให้ได้รับการยอมรับจากตลาด
การทำความรู้เข้าใจรูปแบบการตัดสินใจของ”ตลาด” และ “องค์กร” มีความแตกต่างกันและเรียนรู้วิธีทำให้ได้รับการยอมรับจากตลาดไม่ใช่จากองค์กรที่ผ่านมามนุษย์เราถูกองค์กรเลือกมาโดยตลอดและมีคนจำนวนมากที่อยากได้รับการยอมรับจากองค์กร
จากนี้ตลาดจะเป็นผู้เลือกเราคนที่อยากได้รับการยอมรับจากตลาดจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแต่องค์กรและตลาดมีวิธีประเมินคุณค่าที่แตกต่างกันมากในการเพิ่มเซนส์การตลาด เราจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างนี้อย่างถ่องแท้และมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อวิธีการเลือกของตลาด บางวงการจะยังไม่แปลงสภาพเป็นตลาดแต่สักวันหนึ่งมันจะพัฒนาเป็นตลาด คุณควรให้ความสำคัญกับ”ทักษะที่ตลาดเลือก”แทน “ทักษะที่องค์กรเลือก” และขัดเกลาเซนส์การตลาดอยู่เสมอ
4.ทำความเข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างความล้มเหลวกับความสำเร็จคนที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนจะถูกมองว่า”ยังไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จ” สิ่งที่เรียนรู้ได้จากความล้มเหลวนั้นสำคัญอย่างมาก และเป็นประสบการณ์ที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่เคยประสบกับความล้มเหลวเลย ก็จะถูกตัดสินว่ายังไม่ได้เรียนรู้มามากพอ
ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของความล้มเหลวและความสำเร็จคือ ความสัมพันธ์ที่มีความต่อเนื่องตามลำดับเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้นจากความล้มเหลวแล้วค่อย ๆ เข้าใกล้ความสำเร็จทีละนิด กุญแจสำคัญของกระบวนการนี้คือการเรียนรู้จากความล้มเหลวพูดง่าย ๆ ก็คือความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้หนทางไปสู่ความสำเร็จ
5.อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี
ความสามารถทางการตลาดสูง(Marketability) สภาพแวดล้อมที่มีความสามารถทางการตลาดสูงหมายถึงสถานที่ที่มีการแลกเปลี่ยนคุณค่าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสถานที่ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบการจูงใจของมนุษย์โดยตรง แล้วสภาพแวดล้อมที่ใช้กระบวนการการตัดสินใจแบบตลาดแทนแบบองค์กร ในสังคมมีทั้งสภาพแวดล้อมที่มีความสามารถทางการตลาดสูงและความสามารถทางการตลาดต่ำ ดังนั้นเราควรเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมและพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกทักษะที่ตัวเองอยากฝึก