Search
Close this search box.

เงียบให้ถูกจังหวะ คนชนะไม่พูดมาก

รู้หรือไม่ว่าการเข้าถึงผู้คนไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศิลปะ
แต่หากเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะกำแพงกั้นระหว่างบุคคลกลายเป็น
กำแพงกั้นความสำเร็จ ความก้าวหน้า
และความสุขของคุณได้🙂
.
มาร์ก กูลสตัน จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การสื่อสารและมีประสบการณ์การเจรจา
ช่วยตัวประกันร่วมกับเจ้าหน้าที่ FBI
สอนวิธีการสื่อสารที่จะทำให้คุณเข้าถึง
ทุกคนได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น…
🚀 ทำให้ลูกน้องหรือคนแปลกหน้าสนใจคุณ
🚀 กล่อมคนที่กำลังโกรธจัดให้หันมา
ยอมรับฟังคุณอย่างมีเหตุผล
🚀 เปลี่ยนท่าทีต่อต้านของคู่เจรจาเป็นรับฟัง
เงียบให้ถูกจังหวะ คนชนะไม่พูดมาก
จะมอบเทคนิคและความมั่นใจในการสื่อสาร
เพราะเมื่อสื่อสารเป็นการเข้าถึงใจใครๆ
ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป😄
.
1.”ใครจับคนเป็นตัวประกัน”
การสร้างแรงดึงดูด คือดึงดูดคนอื่นให้เข้ามาหา
แม้พวกเขาจะพยายามถอยห่างก็ตาม
อยากเข้าใจเรื่องนี้ คุณลองนึกภาพตัวเอง
ขับรถขึ้นเนินชันๆ ถึงรอรถย่อมลื่นไถล
เกาะถนนไม่ค่อยอยู่ แต่ถ้าลดเกียร์ให้ต่ำลง
จะคุมรถได้ เหมือนกับดูดพื้นถนน
เข้าหารถนั่นเอง🚙🚗
.
เวลาอยากคุยกับคนอื่นให้ได้ผลตามตั้งใจ
คนส่วนใหญ่ชอบใช้เกียร์สูงหว่านล้อม
เกลี้ยกล่อม ผลักดัน การทำแบบนั้น
กลับให้อีกฝ่ายต่อต้าน ถ้าคุณเปลี่ยนเป็น
ทำตรงข้าม คือ ฟัง ถาม สะท้อน
และป้อนสิ่งที่ได้ยินกลับไปยังอีกฝ่าย
ทำอย่างนั้นแล้วคนอื่นก็จะรู้สึกว่าคุณ
รับรู้ เข้าใจ และเห็นใจ แล้วการลดเกียร์ต่ำ
โดยไม่คาดฝันจะดึงอีกฝ่ายเข้าหาคุณ
.
การสื่อสารเกือบทุกกรณีล้วนเป็นไป
เพื่อพยายามให้อีกฝ่ายเชื่อและยอมรับ
สิ่งที่ต่างจากเดิม คุณอาจกำลังพยายาม
ขายบางสิ่ง พยายามคุยให้รู้เรื่อง
หรืออยากทำให้อีกฝ่ายประทับใจจนเห็นว่า
คุณเหมาะสมกับงาน กับตำแหน่งที่สูงขึ้น
หรือกับความสัมพันธ์ใดๆก็ตาม
.
คุณเข้าหาคนเหล่านี้โดยใช้เหตุผลกับข้อมูล
หรือจำเป็นต้องโต้แย้ง สนับสนุน หรืออ้อนวอน
และหวังให้อีกฝ่ายยอมเชื่อตาม
บ่อยครั้งก็ทำไม่ได้คุณกลับโดนตบหน้า
ชนิดนึกไม่ออกเลยว่าทำไม❓
.
แค่เปลี่ยนวิธีการเข้าหาคน คุณก็สามารถ
กล่อมให้พวกเขาคล้อยตามได้
เทคนิคนี้ได้ผลเพราะมันช่วยแก้ไข
ตรงหัวใจของการสื่อสารให้สัมฤทธิ์ผล
ได้เรียกว่า “วงจรการเกลี้ยกล่อม”
.
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการการเกลี้ยกล่อม
คุณต้องพูดคุยกับอีกฝ่ายในลักษณะที่ค่อยๆ
ทำให้พวกเขาขยับไปทีละขั้นดังนี้
.
⭕ จาก ต่อต้าน เป็น รับฟัง
⭕ จาก รับฟัง เป็น คิดตาม
⭕ จาก คิดตาม เป็น ยินดีจะทำ
⭕ จาก ยินดีจะทำ เป็น ลงมือทำ
⭕ จาก ลงมือทำ เป็น ดีใจที่ทำและยังคงทำต่อ😄
.
เคล็ดลับในการทำให้ทุกคนเชื่อตามคือ
คุณเข้าถึงใจคนอื่นได้โดยการทำให้พวกเขา
“คล้อยตาม” ซึ่งการคล้อยตามย่อมเกิดขึ้น
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนจาก “ต่อต้าน” เป็น “รับฟัง”
เป็น “คิดตาม” คำพูดของคุณ
.
เพราะหัวใจสำคัญที่ชักนำให้คนอื่น “คล้อยตาม”
จนขยับเขยื้อนไปตามวงจรทั้งหมดไม่ใช่คำพูด
ที่คุณบอกพวกเขา แต่กลับเป็นการทำให้
พวกเขา เอ่ยปากบอกคุณถึงความรู้สึกนึกคิด
ในใจโดยตลอดต่างหาก
.
2.”สมองเปลี่ยนจาก “ไม่” เป็น ” ใช่” ได้อย่างไร”
คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องเซลล์ประสาท
สารสื่อประสาท แต่ข้อสำคัญอยู่ตรงที่
คุณพอเข้าใจว่าสมองปรับเปลี่ยนจาก
ต่อต้านเป็นคล้อยตามได้อย่างไร❓
ุไม่ว่าคุณจะสื่อเนื้อหาอะไรออกมา
คุณก็ต้องสื่อสารกับสมองก่อน
.
สามเรื่องที่ช่วยเสริมให้คุณเข้าใจได้ว่า
สมองของอีกฝ่ายคิดอะไรเมื่อคุณ
กำลังพยายามชักจูงให้เขาคล้อยตาม
.
เมื่อทำความเข้าใจทั้งสามเรื่องนี้ได้คือ
สมองสามส่วน ภาวะถูกอะมิกดะลาจี้
(amygdala hijack) เซลล์ประสาท
แบบกระจกเงา (mirror neurons)
คุณก็จะเข้าใจศาสตร์เรื่องสมอง
ที่คุณจำเป็นต้องรู้ทั้งหมดเบื้องหลัง
การพูดให้โดนใจใครๆ
.
✨ สมอง 3 ส่วน
📍สมองชั้นต่ำแบบสัตว์เลื้อยคลาน (reptile layer)
คือสมองส่วน “ไม่สู้ก็หนี” มีหน้าที่ลงมือทำ
หรือตอบโต้ล้วนๆ โดยแทบไม่คิดอะไร
ยามเจอวิกฤตสมองส่วนนี้อาจทำให้คุณ
ยืนตะลึงตัวแข็ง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาแบบเดียวกับ
“กวางโดนไฟหน้ารถสะกด”
📍สมองชั้นกลางแบบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
(mammal layer) คือแหล่งรวมอารมณ์
ความรู้สึก ความรู้สึกแรงๆ ไม่ว่ารัก สนุก เศร้า
โกรธ อิจฉา ปิติยินดี ล้วนเกิดขึ้นที่สมองส่วนนี้
📍สมองชั้นสูงแบบสัตว์ประเภทไพรเมต
(primate layer) คล้ายกับมิสเตอร์สป็อค
ในหนังเรื่อง Star Trek เป็นสมองส่วนที่
ประเมินสถานการณ์ด้วยเหตุผลด้วยตรรกะ
และพร้อมตั้งใจวางแผนปฏิบัติ สมองส่วนนี้
ประมวลข้อมูลจากสมองชั้นสัตว์เลื้อยคลาน
และชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กลั่นกรอง
วิเคราะห์ แล้วจึงตัดสินใจให้สอดคล้องกับ
ความเป็นจริงอย่างชาญฉลาดและมีคุณธรรม
🚀เมื่อโดนอะมิกดะลาจี้ก็หมดสิทธิ์คิดด้วยเหตุผล
อะมิกดะลาเป็นพื้นที่เล็กๆในสมองส่วนลึก
จะโดนออกปฏิบัติการทันทีที่รู้สึกว่า
โดนอันตรายคุกคาม เช่น คนแปลกหน้าเข้าใกล้
คุณแถวลานจอดรถมืดๆ อันตรายในที่นี้
ไม่จำเป็นเป็นเรื่องทางกายเสมอ
“คำพูดชวนทะเลาะ” ความกังวลเรื่องเงินทอง
หรือแม้กระทั่งเรื่องท้าทายอัตราของคุณ
ก็กระตุ้นสมองส่วนนี้ได้เหมือนกัน
.
เปลือกสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่สาเหตุผล
ก็ตื่นตัวเช่นกันในสถานการณ์ที่คุณรู้สึก
สุ่มเสี่ยงต่ออันตราย😥
.
แต่สมองชั้นที่สูงกว่าส่วนนี้ต้องคิดวิเคราะห์
ความสุ่มเสี่ยงเสียก่อน ร่างกายจึงมอบอำนาจ
ให้อะมิกดะลากดสวิตช์ ไม่ว่าจะกำกับ
หรือเบนเส้นทางสื่อกระแสประสาท
จากเปลือกสมองส่วนหน้า
.
บางทีเวลาคุณตื่นตกใจจัดๆ อะมิกดะลาจะปิดกั้น
สมองชั้นสูงทันที ทำให้คนทำตามสัญชาตญาณ
ดั้งเดิม แต่โดยมากแล้วอะมิกดะลาก็จะสำรวจ
สถานการณ์ก่อนขยับ
.
เมื่อไหร่อะมิกดะลาถึงจุดเดือดพล่าน
ทุกอย่างก็จบเห่ จุดเดือดพล่านจนล้น
แบบนี้เรียกว่า “ภาวะถูกอะมิกดะลาจี้”
(amygdala hijack)
.
ความสามารถการใช้เหตุผลของคุณลดดิ่งลง
ความจำใช้งานได้ติดขัด ฮอร์โมนเครียดหลั่ง
ท่วมทั้งระบบ ต่อมาอะดรีนาลีนก็ออกฤทธิ์
พลุ่งพล่านจนคุณคิดอะไรไม่ได้ชัดอีกต่อไป
กว่าจะหมดฤทธิ์ก็อาจเสียเวลาเป็นชั่วโมง
.
🚀เซลล์ประสาทแบบกระจกเงา
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเซลล์ประสาทบางตัว
ในเปลือกสมองส่วนหน้าของลิงกัง
เวลาที่ลิงโยนบอลหรือกินกล้วย เซลล์บริเวณ
ส่วนนั้นจะตื่นตัวแต่ที่น่าประหลาดใจคือ
เวลาเห็นลิงตัวอื่นทำอย่างนี้ เซลล์ชนิดนี้
ในสมองดีอีกตัวก็พลอยตื่นตัวไปด้วย
.
แรกเริ่มนักวิทยาศาสตร์เรียกเซลล์ประสาท
ชนิดนี้ว่า “เซลล์ลิงเห็น ลิงทำ” ต่อมาจึงเปลี่ยน
เป็นเรียกว่า “เซลล์ประสาทแบบกระจกเงา”
(mirror neurons) เพราะช่วยสะท้อนภาพ
ที่ลิงตัวอื่นทำในความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
.
3.”เปลี่ยนจาก “โอ๊ย แย่แล้ว เป็น โอเคเลย””
การควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ไม่เป็นเพียง
กุญแจไขสู่การเป็นผู้นำชั้นเยี่ยม
แต่ยังเป็นกุญแจไขสูตรการเข้าถึงคนอื่นด้วย
โดยเฉพาะตอนเครียดหรือไม่มั่นใจ
รวมทั้งเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้เจรจาช่วยตัวประกัน
ที่เก่งๆถึงสามารถคุยกับคนที่ดูเข้าถึงยากได้รู้เรื่อง
.
ในทางกลับกันก็เป็นสาเหตุว่าทำไมจึงไม่มีใคร
อยากฟังคนที่เอาแต่โอดครวญร่ำไห้หรือโวยวาย
ต่อให้เป็นผู้ฟังที่ใจเย็นและเห็นใจคนอื่นก็ตาม
.
สิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมสถานการณ์
ตึงเครียดให้ได้ได้แก่ ต้องควบคุมตัวเอง
ให้อยู่เสียก่อน การควบคุมตนเองให้ได้
ทำง่ายกว่าที่คุณคิด🙂
.
การป้องกันไม่ให้ตัวเองพลาดโอกาส
เข้าถึงคนอื่นได้ คุณต้องตั้งสติควบคุม
อารมณ์ความนึกคิดให้ได้ภายในไม่กี่นาที
ต้องเปลี่ยนจากการใช้สมองสัตว์เลื้อยคลาน
เป็นสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจนเป็น
สมองมนุษย์แทบจะทันที😄
.
เปลี่ยนจาก “โอ๊ย แย่แล้ว เป็น โอเคเลย”
ให้ได้อย่างรวดเร็ว
.
⭕ “โอ๊ย แย่แล้ว” (ขั้นปฏิกิริยาโต้ตอบ)
ถ้าอยู่คนเดียวก็ส่งเสียงพูดออกมาเลย
เพราะการได้ระบายความเครียดทางกาย
ขณะที่พูดจะช่วยให้คุณสงบลงได้
.
หากอยู่ในสภาพที่ปลีกตัวไม่ได้สักนาที
ก็ห้ามเอ่ยปากพูดกับใครเลยในช่วงวินาทีแรกๆ
คุณต้องรวบรวมสมาธิรับรู้อารมณ์ตัวเอง
แต่ค่อยๆปรับอารมณ์จากขุ่นเคืองหรือ
ตื่นตระหนก ถ้าอยู่ในสภาพที่พอจะหลับตา
ได้สักนาทีก็ขอให้ทำ
⭕ “พระเจ้าช่วย” (ขั้นปลดปล่อยอารมณ์)
สูดหายใจเข้าออกทางจมูกลึกๆช้าๆพร้อมหลับตา
แล้วปล่อยวางความรู้สึก ทำไปเรื่อยๆจนกว่า
ปล่อยวางได้ หลังจากปลดปล่อยอารมณ์ออกไป
ก็ขอให้อยู่กับลมหายใจต่อไปและ “ผ่อนคลาย”
วิธีนี้จะช่วยให้คุณเริ่มเกิดสมดุลภายใน
⭕ “เฮ้อ ให้ตายสิ” (ขั้นตั้งศูนย์ใหม่)
ให้อยู่กับลมหายใจต่อไป แต่ละครั้งที่หายใจ
เข้าออก พยายามลดความรู้สึกตัวเองลงมา
เป็นระดับ 2 3 4 และ 5 ขณะที่ความรู้สึกลดลง
ทีละระดับหากพูดกำกับไปด้วยว่า “โอ๊ย แย่แล้ว”
“พระเจ้าช่วย” “เฮ้อ ให้ตายสิ” “เอาเถอะ….”
ก็อาจจะช่วยได้🙂
⭕ “เอาเถอะ…” (ขั้นปรับโฟกัส)
เริ่มตรึกตรองว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง
เพื่อควบคุมความเสียหาย รวมทั้งใช้
สถานการณ์นี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
⭕ “โอเคเลย” (ขั้นพร้อมลุย)
ถ้าตอนนี้ยังหลับตาอยู่ให้ลืม แล้วลงมือทำ
สิ่งที่ต้องทำ🙂
.
การฝึกทักษะนี้ให้ชำนาญยิ่งสำคัญเป็นพิเศษ
สำหรับคนประเภทที่ตกเป็นเหยื่อของภาวะ
เรียกว่า “ก้าวร้าวกลบความกลัว”
.
ถึงคุณจะรับมือความเครียดได้อย่าง
คล่องแคล่วใจเย็นแล้ว ก็ควรใช้เวลา
ฝึกฝนทักษะนี้ให้เชี่ยวชาญ
เพราะจะช่วยรับมือความเครียดได้เก่งขึ้น
.
4.”ทำให้ตัวเองรู้จักฟัง
คนเรารับรู้ด้วยกันประมวลผลข้อมูลรวมๆ
แบบตายตัวด้วยเหตุผลง่ายๆคือ ความรู้ใหม่
ย่อมต่อยอดจากความรู้เดิม เราหัดคลานก่อน
แล้วถึงจะเดินเป็น เราหัดเดินได้ก่อน
แล้วถึงจะวิ่งเป็น🧑‍🍼🚶
.
เราตัดสินคนอื่นทันทีเพราะอาศัยทุกข้อมูล
ที่เคยได้ยินได้รู้เกี่ยวกับพวกเขามาก่อน
และยึดติดกับการรับรู้นั้นตลอด😔
มองทุกความเกี่ยวข้องกับเขาคนนั้น
ผ่านแผงกั้นในใจ เพราะเราเรียนรู้แบบนั้น
.
ปัญหาคือแม้เราจะคิดว่าความประทับใจได้
ที่มีต่อผู้คนมีเหตุผลรองรับล้วนๆ
แต่ไม่ใช่ที่จริงก็ปนกันทั้งเรื่องจริงตาม
จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก เรื่องแต่ง และอคติ
.
ความประทับใจแรกนั้นก็ส่งผลต่อความรู้สึก
ที่เรามีต่อคนอื่นอย่างยาวนานเป็นเดือนเป็นปี
รวมถึงส่งผลว่าเราจะฟังเขาคนนั้นอย่างไร
เพราะเราจะบิดเรือนทุกคำพูดที่เขาพูดให้
สอดคล้องกับความคิดที่เจืออคติของเราเอง
.
วิธีแก้ปัญหาคือ ทบทวนความคิดในหัว
เมื่อตั้งใจวิเคราะห์ความคิดเห็นที่ตัวเอง
มีต่อคนอื่น พร้อมเทียบเคียงความคิด
ที่มีอยู่ก่อนกับความเป็นจริง
คุณก็จะสามารถเชื่อมโยงสมองให้สร้าง
การรับรู้ใหม่ที่ถูกต้องแม่นยำกว่าเดิม
แล้วคุณก็จะสื่อสารกับบุคคลที่อยู่ตรงหน้า
คุณจริงๆได้👫
.
5.”ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเข้าใจ”
การทำให้ใครสักคนรู้สึกว่า “มีคนเข้าใจ”
หมายถึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อทำอย่างนั้น
คุณย่อมเปลี่ยนพลวัตความสัมพันธ์ได้ในทันที
.
การทำให้ใครรู้สึกว่า “มีคนเข้าใจ” ได้ผลก็คือ
เรื่องเซลล์ประสาทแบบกระจกเงา
เมื่อคุณสะท้อนสิ่งที่อีกฝ่ายรู้ เขาก็จะถูก
เชื่อมโยงให้สะท้อนความรู้สึกของคุณกลับคืน
.
เมื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า “มีคนเข้าใจ”
ฐานะคุณก็จะเปลี่ยนจากคนแปลกหน้าหรือศัตรู
กลายเป็นเพื่อนหรือพวกเดียวกัน เขาจะถือตัว
น้อยลง ขัดขวางน้อยลง และสนับสนุนมากขึ้น
รวมทั้งสารของคุณก็จะสื่อไปถึงคนนั้นได้จริงๆ
.
6.”สนใจคนอื่นดีกว่าทำตัวน่าสนใจ”
ยิ่งคุณให้ความสนใจคนอื่นมาก คุณก็ยิ่งลด
ภาวะเซลล์ประสาทแบบกระจกเงาขาดดุล
ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นความโหยหาทางกายภาพ
ที่อยากให้โลกภายนอกสะท้อนความรู้สึก
ของตน ยิ่งคุณแสดงความสนใจ อีกฝ่ายยิ่งรู้สึก
ขอบคุณคุณกลับ และจะยิ่งรู้สึกเห็นใจคุณมากขึ้น
.
สรุปได้ว่าหากอยากให้ตัวเองน่าสนใจก็ต้อง
เลิกคิดที่จะทำให้ตัวเองน่าสนใจ แต่จงเป็นคน
ที่สนใจคนอื่นแทนดีกว่า😄
.
มุกตลกเก่าแก่บอกไว้ว่า “คุณแกล้งจริงใจไม่ได้”
“คุณแกล้งสนใจไม่ได้เหมือนกัน”
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องพยายาม ยิ่งคุณอยากจูงใจ
อยากเข้าถึงคนเก่งที่ประสบความสำเร็จ
คุณก็ต้องยิ่งสนใจตัวพวกเขาอย่างจริงใจ
.
7.”ทำให้คนอื่นรู้สึกมีค่า”
ใครๆก็ต้องการรู้สึกว่าตัวเองมี เราต้องการ
ความรู้สึกนี้เกือบเท่ากับต้องการอาหาร อากาศ
และน้ำ เรารู้อยู่ในใจว่าตัวเองมีค่าก็ยังไม่ดีพอ
เรายังต้องการให้คนรอบข้างเห็นเรามีค่าด้วย
.
การทำคนอื่นรู้สึกมีค่าไม่เหมือนทำให้พวกเขา
รู้สึกว่ามีคนเข้าใจหรือรู้สึกว่าตัวเองน่าสนใจ
เพราะคุณสัมผัสใจของพวกเขา
ในทางที่ลึกล้ำยิ่งกว่า🙂
.
เมื่อมีใครสักคนรู้สึกมีค่าเท่ากับคุณ
บอกเขาว่า “คุณมีเหตุผลนะที่มาอยู่ตรงนี้
คุณมีเหตุผลนะที่ทุกเช้าจะลุกจากเตียงไป
ทำงานอย่างที่ทำอยู่ คุณมีเหตุผลนะที่เป็น
ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ บริษัทนี้ โลกนี้
คุณอยู่ตรงนี้ทำให้อะไรๆดีขึ้น”😄
.
เมื่อทำให้คนอื่นรู้สึกสำคัญก็เท่ากับคุณ
ให้ของขวัญซึ่งประเมินราคาไม่ได้แก่พวกเขา
ในทางกลับกันเขาก็มักยินดีจะทำทุกอย่างให้
ถ้าคุณมีความฉลาดทางอารมณ์ คุณก็จะรู้จัก
แสดงให้คนอื่นรู้ว่าคุณเห็นพวกเขามีค่า
และสำคัญมากแค่ไหน
.
8.”ช่วยให้คนอื่นระบายอารมณ์จนสบายใจ”
ความเครียดไม่ได้เลวร้ายอะไร มันทำให้เรา
จดจ่อ มุ่งมั่น และทดสอบความตั้งใจของเรา
.
เมื่อเครียดจนข้ามขั้นกลายเป็นกังวล
สายตาเราจะคาดจากเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ
.
กลับมองหาสิ่งที่ทำให้เราสบายใจตอนนี้แทน
ถึงจุดนั้นเราก็จะมัวแต่วุ่นหาทางออกฉุกเฉิน
เพื่อให้พ้นความเจ็บปวดของตนจนคุยไม่รู้เรื่อง
หรือไม่มีเหตุผล 😵‍💫
.
ถ้าคุณเจอคนที่จมปลักในความกังวล
ขั้นแรกที่ควรทำในสถานการณ์นี้คือ
ให้พาเขาออกจากสภาพนี้และเข้าสู่สภาวะ
ซึ่งสมองของเขาสามารถรับฟังคุณได้
.
ถ้าคุณพยายามเข้าถึงคนที่จิตใจกำลังกลัดกลุ้ม
การเพิ่มความเครียดให้เขาอีกอาจอันตราย
.
ถ้าคุณช่วยชี้ทางให้เขาผ่อนคลายจิตใจ
แค่ผ่อนคลายลมหายใจก็ช่วยให้คนเรารับรู้
และแสดงความรู้สึกของตนออกมาได้
และยังทำให้สถานการณ์ดีขึ้นด้วย
.
9.”แก้ภาพที่ผิดเพี้ยนเสียตั้งแต่ต้น”
การเห็นภาพไม่ตรงกันอาจเกิดขึ้นได้ในอีกด้าน
คือคุณคิดว่าตัวเองรู้จักใครสักคนทะลุปรุโปร่งแล้ว
แต่เขาคนนั้นไม่เห็น เขาคงไม่รำคาญอะไรมาก
เท่าได้ยินคุณบอกว่า…
“ฉันรู้นะว่าทำไมคุณถึงคิดอย่างนี้”
ทั้งที่จริงๆคุณไม่ได้รู้อะไรเลย กรณีนี้มักเกิดขึ้น
เมื่อคุณไม่ตั้งใจฟังให้ลึกซึ้งพอที่จะรู้ว่าอีกฝ่าย
พยายามจะสื่อสารอะไร❓
.
การมองภาพไม่ตรงกันทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนจาก
การคิดว่า “คนคนนี้ทำอะไรให้ฉันได้บ้าง”
รวมทั้งทำให้คุณกับเขาต่อกันไม่ติด
หรือมุมมองจากประสาทวิทยาคือไม่บรรลุ
ถึงภาวะที่เซลล์ประสาทแบบกระจกเงา
ทำให้รู้สึกเห็นใจกัน เพราะคุณไม่ได้ส่งสาร
ที่คิดว่าตัวเองส่งออกไป อีกฝ่ายย่อมไม่
อาจสะท้อนความรู้สึกมั่นใจของคุณ
ถ้าทางคุณเหมือนหยิ่งทะนง
.
พวกเขาไม่อาจสะท้อนความรู้สึกใจเย็นของคุณ
ถ้าตีความว่านั่นคืออาการไม่แย่แส นั่นคือ
เหตุผลว่าทำไมคุณต้องสังเกตภาพตัวเอง
ที่ผิดเพี้ยนไปในสายตาคนอื่น
แล้วรีบแก้ไขเสีย😔
.
ความอ่อนน้อมถ่อมตนย่อมชนะใจคนส่วนใหญ่
รวมทั้งขจัดปัญหามองภาพไม่ตรงกันได้ก่อน
จะเกิดด้วยซ้ำ เพราะการเอ่ยปากขอโทษ
ล่วงหน้าย่อมไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ
.
10.”เมื่อดูเหมือนสูญเสียทุกอย่าง จงเผยจุดอ่อน”
เคยเชื่อว่าถ้าอยากให้คนอื่นนับถือ ก็ห้ามแสดง
ความอ่อนแอให้ใครเห็น โดยเฉพาะพ่อของตัวเอง
ต้องทำเป็นกล้าหาญเพื่อสร้างความผิดพลาด
และปกปิดความกลัว😣
.
คนจะอภัยให้และถึงจะพยายามช่วยเหลือ
ถ้าคุณบอกเขาตรงๆว่าทำผิดพลาด
อีกอย่างคือสาเหตุที่คนอื่นโปรดหรือผิดหวัง
ในตัวคุณไม่ใช่เพราะคุณไม่ยอมบอกความ
แต่เพราะทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเลี่ยงไม่ยอมพูด
ความจริงกับพวกเขาต่างหาก
.
การยอมรับความเปราะบางของตนเท่ากับ
เสริมสร้าง ช่วยป้องกันภาวะโดนอะมิกกะลาจี้
อาจส่งผลให้หุนหันตัดสินใจและเลือกทำ
สิ่งเลวร้ายสาหัสในชีวิต ช่วยให้ได้ระบาย
ความคับข้องแทนที่จะระเบิดตู้มเดียว
ส่วนการทำตรงข้ามโดยแกล้งทำเป็นเหมือน
ไม่เป็นไรทั้งที่ในใจจวนจะระเบิดกลับก่อให้เกิด
ความเสียหายหรือเป็นอันตรายได้
.
การเผยความเปราะบางของคุณยังสร้างเยื่อใย
ที่แข็งแกร่งพอจะเปลี่ยนคนแปลกหน้าแท้ๆ
ให้กลายเป็นเพื่อนได้ด้วย
.
11.”หลีกห่างคนที่เป็นพิษเป็นภัย”
คนชอบเรียกร้องแบบเข้าขั้นป่วยอาจปอกลอก
คุณได้หมดตัวทั้งในด้านอารมณ์ความรู้สึก
หรือเรื่องเงินทอง หรือทั้งสองอย่าง
คนพวกนี้สูบพลังชีวิตไปจากคุณ
เพราะไม่ว่าคุณทำอะไรให้ก็ไม่เคยพอ
.
คนชอบเรียกร้องไม่ยอมตัดสินใจ หรือจัดการ
เรื่องของตัวเอง พวกเขาอยากให้คุณสละเวลา
กุมมือพวกเขาไว้เป็นชั่วโมง ช่วยหาทางแก้
ปัญหาชีวิตให้ แต่ละครั้งที่ออกแรงฉุดพวกเขา
ขึ้นมา ตัวคุณเองก็ยิ่งจมทรายดูดลึกลงไปทุกที
.
หากใช้เวลามากเกินไปกับคนชอบเรียกร้อง
คุณก็จะรู้สึกหดหู่ไร้ความสามารถ หมดแรง
และไม่เคยได้ฟังคำพูดดีๆตอบแทน
.
ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือหนี แต่ก็ต้อง
รอบครอบ เพราะคนที่มีอาการบุคลิกกึ่งผิดปกติ
อาจแปรสภาพเป็นพวกคอยติดตามก็ได้
.
เวลาคุณโดนคนพาลรังแกข่มขู่ด้วยวาจ
แนะนำให้จ้องตาวางท่าสุภาพสุดๆ แต่ดูน่าเบื่อ
หน่อย คล้ายกับใจลอยไปที่อื่น ใช้ภาษากาย
ส่งสารแบบเดียวกัน เคยยืนตรงในท่าสบายๆ
เอียงศีรษะเหมือนกับฟังอยู่แต่ก็ไม่ค่อยตั้งใจ
เท่าไหร่ ทิ้งแขนตามสบาย ไม่ยกแขนกอดอก
ในเชิงป้องกัน บ่อยครั้งปฏิกิริยานี้มักทำให้
อีกฝ่ายอึดอัดและยอมถอย
.
เวลาที่คุณเจอคนมีพิษภัยและพยายาม
วิเคราะห์ปัญหาของพวกเขา
ให้นึกไว้อย่างหนึ่งเสมอว่า เป็นไปได้ไหม
แค่เป็นไปได้นะ ว่าคนที่มีปัญหาคือ
“ตัวคุณเอง”😰
.
ส่องกระจกสำรวจดูให้ดี ก็เป็นไปได้ที่คุณ
จะสำนึกได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่บ้า
แต่ไม่ต้องห่วง เพราะทุกคนก็นิสัยเสีย
ไปคนละแบบ แต่สิ่งที่ทำให้คนดีๆต่างจากคน
มีพิษมีภัยก็คือการกล้าเผชิญหน้ากับนิสัยเสียๆ
ของตัวเองและใช้เป็นบทเรียน
.
การเงียบให้ถูกจังหวะเป็นทักษะที่สำคัญ
ในการสื่อสารและการนำทีม😀
.
12.”คำถามเรื่องเป็นไปไม่ได้”
คำถามเรื่องเป็นไปไม่ได้ใช้ได้ผลกับคน
ที่ก้ำกึ่งระหว่างต่อต้านกับรับฟัง
แต่คนไม่พร้อมจะขยับไปถึงขั้นคิดตาม
ปกติเขาจะคิดวนเวียนไปมาระหว่าง
กลัวกับเฉยๆ😱
.
ถ้าคุณโชคดีก็อาจจุดประกายความสนใจ
ตรงไหนสักแห่งได้บ้าง แต่ถ้าไม่ออกแรงเข็น
ไอเดียของคุณย่อมไปไม่รอด…
คำถามเรื่องเป็นไปไม่ได้คือแรงผลักดันที่มีพลัง
.
คำถามสั้นๆสองข้อว่า “อะไรที่คงเป็นไปไม่ได้”
กับ “แล้วอะไรที่น่าจะทำให้มันเป็นไปได้”
พลังมหาศาลของคำถามสองข้อนี้
อยู่ตรงที่มันผลักดันให้คนตอบ
ต้องเปลี่ยนท่าทีจากปัดป้องปิดตัวเอง
หรือหาข้ออ้างเห็นแก่ตัว เป็นท่าทีขบคิด
อย่างใจกว้าง ซึ่งทำให้เขาเห็นภาพในหัว
ของคุณเป็น พร้อมร่วมมือช่วยคิดหาวิธี
ไอเดียนั้นให้เป็นจริงขึ้นมา
.
เมื่อตั้งคำถามกับอีกฝ่ายว่าอะไรที่พวกเขา
คิดว่าเป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ
คุณกำลังทำให้พวกเขาพูดในแง่บวกว่า…
“ฉันเชื่อว่าอันนี้เป็นไปไม่ได้” การคิดและพูด
แบบนั้นทำให้สมองเขาปรับเปลี่ยนมาเป็นท่าที
เชิงบวกต่อคุณ พอเขาเริ่มคิดในทำนอง
“ใช่” กับ “ไม่ใช่” หรือ “ใช่ แต่”
แล้วคุณทำท่าทีคล้อยตาม ถามต่อว่า
“แล้วอะไรที่น่าจะทำให้มันเป็นไปได้”
เขาก็จะมีท่าทีให้ความร่วมมือ
.
วิธีนี้คล้ายอุบายของศิลปะป้องกันตัว
ที่อาศัยถ้าลุคของผู้ต่อสู้เพื่อโต้กลับคืน
ด้วยการปล่อยให้อีกฝ่ายถลำตัวเสียหลักเอง
โดยที่เราไม่ต้องออกแรงโจมตี ที่ได้ผลเพราะ
แทนที่จะต่อต้าน คุณกับอ้าแขนรับ
แล้วสะท้อนแรงจะคืนซึ่งทำให้อีกฝ่ายเสียหลัก
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะเผลอเปลี่ยนจากคิดค้าน
เป็นขบคิดตามจนดึงเข้าหาทางคุณได้
.
13.”กลย้อนแย้ง”
เทคนิคนี้ช่วยให้คุณทะลวงฝ่าเข้าถึงคน
ที่อยู่ในวงจรการสื่อสารขั้นที่เข้าถึง
ได้ยากที่สุดคือตอนเริ่มแรก คุณต้องเปลี่ยน
ให้เขาเปลี่ยนจากการต่อต้านเป็นยอมรับฟัง
แล้วคิดพิจารณาตาม ถือเป็นขั้นแรก
ตามตำรับการเจรจาช่วยตัว และมีพลัง
ไม่แพ้กันในวิกฤตทางธุรกิจ
.
การทำให้อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า “ใช่” ไล่เป็นลำดับ
ไปเท่ากับคุณปรับเปลี่ยนทัศนคติของเขา
จากไม่เห็นด้วยเป็นเห็นด้วย
.
พอทำให้เขาเห็นพ้องได้ เขาจะรู้สึกอยากร่วมมือ
แทนที่จะโต้ตอบ ใช้กลย้อนแย้งปรับเปลี่ยน
ทัศนคติอีกฝ่ายทันทีในสถานการณ์
คอขาดบาดตาย😱
.
เทคนิคนี้ที่บ้านหรือที่ทำงานก็ใช้ได้เหมือนกัน
ใช้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดจัด
ซึ่งคุณจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้อีกฝ่าย
ตัดสินใจผิดพลาดร้ายแรง
.
กลย้อนแย้งไม่ได้เป็นเครื่องมือสำหรับ
ใช้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายได้ระบายออก
หรือโน้มน้าวให้อีกฝ่ายทำถูกแทนที่
จะทำผิด แต่ยังเป็นไพ่ใบสำคัญหากคุณ
อยากได้ความเชื่อถือไว้วางใจจากคน
ที่ไม่คิดจะไว้ใจคุณ
.
รวมทั้งเป็นท่าทีที่มีพลังหากคุณทำงาน
ในสภาพอันไม่พึงประสงค์และอยากให้
อีกฝ่ายรู้ว่าคุณไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหานั้น
.
14.”กระตุกให้เห็นใจ”
ความเห็นใจเป็นประสบการณ์เชิงความรู้สึก
มันกระตุ้นระบบประสาทส่วนที่รับความรู้สึก
รวมทั้งเซลล์ประสาทแบบกระจกเงา
ที่เราพูดถึงแล้ว🙂
.
ส่วนความโกรธนั้นเป็นอีกด้าน เป็นการทำตาม
ประสาทสั่งการ ซึ่งปกติจะเป็นปฏิกิริยาตอบโต้
เมื่อโดนคนอื่นทำให้บาดเจ็บหรือเจ็บช้ำน้ำใจ
เพราะการกระตุกให้เห็นใจซึ่งทำให้คน
หลุดจากอารมณ์โกรธเปลี่ยนเป็นเห็นใจ
จึงผลักดันให้บุคคลนั้นเปลี่ยนจาก
การใช้สมองส่วนที่ต่างกันเป็นสมอง
ส่วนที่รับความรู้สึก🙂
.
ความโกรธกับความเห็นใจก็เหมือนสสาร
กับปฏิสสาร ซึ่งไม่สามารถอยู่ในที่เดียวกัน
เวลาเดียวกันได้ เมื่อยอมให้อย่างหนึ่งเข้ามา
ก็ต้องปล่อยอีกอย่างหนึ่งไป
.
เทคนิคนี้ใช้ขัดจังหวะได้ผลเมื่อคุณพบว่า
คนสองคนต่างใช้วาจาโจมตีกันดุเดือด
แทนที่จะสื่อสารกันดีๆ หรือเมื่ออย่างน้อย
คนหนึ่งตั้งมากตั้งตาตำหนิอีกฝ่ายมากกว่า
จะรับฟัง ควรใช้ตั้งแต่ตอนเห็นสัญญาณ
เริ่มแรกที่บ่งชี้ว่าความขัดแย้งจะบานปลาย
.
เวลาใช้เทคนิคกระตุกให้เห็นใจ อย่าทำพลาด
โดยเผลอสอดแทรกความเห็นของตัวเอง
เข้าไป แม้จะเป็นความเห็นเชิงบวกก็ตาม
.
เป้าหมายของคุณคือ ทำให้คนสองคนสะท้อน
ความรู้สึกของกันและกัน และทั้งสองย่อม
ทำอย่างนั้นไม่ได้หากคุณยืนขวางอยู่
ตรงกลาง ฉะนั้นจงช่วยทำให้ง่ายขึ้น
แต่อย่าแทรกกลาง😔
.
15.”เล่นย้อนกลับกระตุกให้เห็นใจ”
เทคนิคเล่นย้อนกลับถ้าคุณต้องจัดการ
กับคนแบบมีทักษะความสามารถ
จะทำงานได้ แต่ไม่ยอมทำให้เต็มร้อย
.
⭕ ก่อนอื่นให้บอกเขาว่าคุณขอคุยด้วยสัก10 นาที
เลือกช่วงเวลาที่เขาให้ความสนใจได้เต็มที่
ไม่มีวอกแวก ถ้าเขาอยากคุยทันทีก็ปฏิเสธ
ไปอย่างสุภาพ😞
⭕ เตรียมตัวพูดคุยโดยตั้งใจนึกถึง 3 เรื่อง
ที่อาจมีสิทธิ์ทำให้เขาไม่พอใจหรือหงุดหงิดใจ
กับคุณ ไม่สำคัญว่าตัวคุณเองหงุดหงิด
ไม่พอใจแค่ไหน จงปล่อยวางเสียก่อนทั้งหมด
แล้วคิดให้เหมือนนั่งอยู่ในใจของอีกฝ่าย
⭕ เมื่อถึงเวลานัดคุย อีกฝ่ายย่อมคาดว่าคุณ
คงตำหนิดุว่าแรงๆ แทนที่จะทำอย่างนั้น
ให้บอกเขาว่า “เธอคงรอให้ฉันติเตียนบ่นว่า
ยืดยาวเหมือนที่ฉันชอบทำสินะ แต่ฉันกำลัง
คิดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอไม่พอใจในตัวฉัน
เธอคงไม่กล้าบอกเรื่องพวกนี้กับฉัน
เพราะคาดว่าฉันคงจะแก้ตัว ฉันคิดว่า
เรื่องพวกนี้ได้แก่….” จากนั้นจึงระบุถึง 3เรื่อง
ที่คุณคาดเดาว่าคงทำให้เขาไม่พอใจ
คุณมากที่สุด☹️
⭕ ตบท้ายว่า “ที่พูดไปนั่นแหละจริงไหม
ถ้าไม่จริงก็ช่วยบอกหน่อยว่าเรื่องอะไร
ที่ทำให้เธอหงุดหงิดใจกับฉันมากที่สุด”
หลังจากนั้นเงียบ รอฟังว่าเขาจะพูดอะไร
แล้วถามต่อไปว่า “เรื่องพวกนี้กวนใจเธอ
มากแค่ไหน”⁉️
⭕ หลังจากฟังเขาตอบก็ค่อยกล่าวตอบ
อย่างจริงจังว่า “งั้นรึ…ฉันไม่รู้เลย และเดาว่า
ตัวเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย ขอโทษ ฉันสัญญาว่า
ต่อไปนี้จะพยายามทำให้ดีขึ้น”
⭕ จากนั้นก็หยุดพูด ถ้าอีกฝ่ายถามว่า
“มีอะไรอีกไหม” ค่อยพูดต่อจากใจจริงว่า
“ไม่มีแล้วแหละ ฉันอยากพูดแค่นี้เอง ขอบคุณ
จริงๆที่เธอบอกให้รู้” ถ้าเขาเซ้าซี้ถามว่า
ทำไมคุณถึงเริ่มบทสนทนานี้ ก็ให้ตอบทำนองว่า
“ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาด และก็รู้ว่าใครๆ
คงลังเลไม่กล้าชี้ให้ฉันเห็น ฉันรู้ว่าตัวเอง
น่าจะทำงานได้ดีขึ้นและทำให้บรรยากาศ
การทำงานดีกว่าเดิม ถ้าหากฉันรู้ตัวว่า
ทำอะไรผิดพลาดไป”
.
เทคนิคนี้ใช้ได้ผลเมื่อวิธีอื่นๆไม่ได้ผล ขืนละเลย
คนขี้เกียจ ปัญหาก็ไม่ยอมจบ หากเผชิญหน้า
กับเขาตรงๆแล้วหวังให้เขาขอโทษและรับปาก
ว่าจะปรับปรุงตัวเอง เท่ากับว่าคุณมีสิทธิ์
สร้างศัตรูซึ่งคอยแอบจ้องจะเล่นงาน
คุณทุกโอกาส😣
.
การเอ่ยขอโทษเองโดยที่เขาไม่คาดฝัน
จะทำให้เกิดเรื่องที่ต่างออกไป คือคุณผลักดัน
ให้เขาเปลี่ยนทัศนะทันทีจากคิดแก้ตัว
เป็นสะท้อนความถ่อมตัวและความกังวล
ของคุณ การเอ่ยปากรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเอง
ทำพร้อมรับปากว่าต่อไปจะแก้ไขข้อผิดพลาด
ในครั้งหน้าและยังแสดงให้เห็นว่าคุณจิตใจดี
ใจกว้าง และมีสติอย่างยิ่ง จนทำให้คุณ
กลายเป็นคนน่านับถือ😀
READ  ชีวิตไม่ง่าย แต่รับมือได้ไม่ยาก
16.”คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ”
นานทีปีหนคุณอาจจะตะลึงเมื่อได้ยินใครสักคน
ตอบหนักแน่นว่า “ใช่” เมื่อคุณเอ่ยถามว่า
“คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ” ถ้าเป็นอย่างนั้น
ก็ขอให้เปิดใจรับฟังสิ่งที่เขาพูด คนที่กล้าพอ
จะตอบคำถามนี้ว่า “ใช่” และยืนยันในคำตอบนั้น
คงมีประเด็นที่ชอบทำอยู่บ้าง อีกทางจะพอใจ
และทำงานได้ผลดียิ่งขึ้นหากคุณช่วยหาทาง
แก้ไขปัญหาให้😕
.
ไม่ว่าคุณจะหาคำตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”
คุณก็จะแก้ปัญหาใหญ่โตบางเรื่อง
ได้ด้วยคำถามง่ายๆนี้
.
การนึกถึงใครสักคนที่คุณข้องแวะด้วย
ซึ่งชอบพูดจาเกินจริงให้เรื่องที่ตนพูด
ฟังดูสำคัญ ทำท่าทีดุเดือดจนคุณฟังแล้ว
เหนื่อยใจ ให้คุณนึกอยากวิ่งหนีไปทางอื่น
ทุกทีในแต่ละครั้งที่เจอกัน
.
คราวหน้าเวลาเขาเริ่มโวยวายเกินเหตุ
คุณก็แค่รับฟังเฉยๆเงียบเอาไว้ นับ 1-5 ในใจ
แล้วค่อยถามกลับไปว่า “คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆหรือ”
คอยดูเขาเปลี่ยนความเห็น แล้วจึงซักไซ้
ให้ถึงรายละเอียดของปัญหานั้นๆ
.
17.”พลังของ อืมมม…”
“อืมมม…” เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ดีเมื่อเผชิญหน้า
กับคนที่เกี้ยวโกรธ เทคนิคนี้ใช้ครอบคลุม
หลายกรณี เรียกว่าทุกอย่างตั้งแต่กรณี
จับตัวเป็นประกันจนถึงกรณีลูกค้าโมโห
เพราะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ที่มีแวว
จะเป็นปากเสียงกันให้กลายเป็นพูดคุย
เชิงร่วมมือกันได้โดยเร็ว
.
คนส่วนใหญ่ทำผิดพลาดจริงๆเวลาเผชิญหน้า
คนที่โกรธกริ้วหรืออารมณ์เสียพวกเขาชอบพูด
ประโยคที่ฟังเหมือนเจตนาดี “เอาล่ะ ใจเย็นๆกันนะ”
หรือพวกเขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
จนเผลอโกรธเสียเอง😡
.
โดยทั่วไปแล้วทั้งสองวิธีนี้มีผลเสีย
เมื่อทำให้อีกฝ่ายโกรธ คุณก็ต้องขึ้นเสียงใส่กัน
เมื่อร้องขออีกฝ่ายอย่างสุภาพให้เขาใจ
นั่นเท่ากับส่งสารทำให้เขาฉุนว่าคุณเหนือกว่า
อีกฝ่ายจะยิ่งมีปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นทันที
.
ในทางกลับกัน “อืมม…” จะช่วยให้เรื่อง
ไม่บานปลาย เวลาใช้เทคนิคนี้คุณไม่ได้พยายาม
ทำให้อีกฝ่ายหยุด แต่กลับบอกเขาเป็นนัยๆว่า
“คุณสำคัญต่อฉัน ปัญหาของคุณก็เช่นกัน”
แล้วตรงนั้นก็พาเรากลับไปที่เซลล์ประสาท
แบบกระจกเงานั่นเอง
.
18.”กลเม็ดวางเงื่อนไข”
ทำไมการวางเงื่อนไขจึงเป็นเทคนิคที่ชาญฉลาด
ก็เพราะเมื่อใครๆล่วงรู้ปัญหาที่คุณยืดอกรับ
หมากตาที่คุณจะเดินได้ผลที่สุดก็คือ
เคลียร์ปัญหาให้พ้นทาง จะให้ดียิ่งกว่านั้น
คือคุณยังเปลี่ยนปัญหานั้นให้เป็น
ประโยชน์ได้อย่างมีพลัง
.
บ่อยครั้งเราลงแรงไปเยอะกับการปิดบังจุดอ่อน
เมื่อใครๆที่พบเจอเราก็เห็นสิ่งนั้นได้ชัดอยู่แล้ว
ผลก็คือเราทำให้คนอื่นอึดอัด เพราะพวกเขา
เหมือนโดนบังคับให้ทำตามเป็นไม่เห็นจุดอ่อน
ดังกล่าว แถมต้องรวบรวมสมาธิมหาสาร
เพื่อคอยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึง
.
เราทำให้พวกเขาอึดอัด เซลล์ประสาทแบบ
กระจกเงาของพวกเขาก็จะสร้างความเชื่อมโยง
ทางอารมณ์ไม่ได้ เพราะเท่ากับพวกเขาจงใจ
หลีกเลี่ยงความเชื่อมโยงนั้น ในหัวพวกเขาไม่มี
ความคิดเลยว่า “เข้าหาคนนี้สิ” แต่กลับเตือนว่า
“ระวังนะ อย่าไว้ใจหมอนี่ ถ้าเขาปิดบางเรื่องนี้
ก็อาจจะซ่อนเรื่องอื่นไว้อีก”
.
ถ้าปัญหาใหญ่โตเด่นชัดขวางกั้นไม่ให้คุณเข้า
ถึงคนอื่น ขอให้วางปัญหานั้นเป็นเงื่อนไขเสีย
.
การวางเงื่อนไขต้องอาศัยความกล้า
แต่ได้ผลตอบแทนมากมาย เมื่อใช้วิธีนี้คุณ
จะเปลี่ยนข้อบกพร่องให้เป็น หนุนให้คนอื่น
เห็นคุณเป็นตัวบุคคลไม่ใช่ตัวปัญหา
.
ยิ่งกว่านั้นคุณอาจประหลาดใจอย่างมาก
ที่พบว่าปัญหาซึ่งเคยถ่วงรั้งก็คือกุญแจสำคัญ
ที่ช่วยให้คุณเคลื่อนไปข้างหน้า
.
19.”เปลี่ยนจากต่างตอบแทนเป็นสร้างความสัมพันธ์”
หากคุณตั้งเป้าจะแลกเปลี่ยนข้อมูล
หรือต่อรองสัญญา แต่ก็มีข้อบกพร่องร้ายแรง
ตรงที่วิธีนี้ไม่ทำให้อีกฝ่ายเปิดใจเปิดความคิด
การสื่อสารกับคนอื่นแบบยื่นหมูยื่นแมวก็เหมือน
กดเงินจากเครื่อง ATM จิ้มๆไปเงินจากบัญชี
ธนาคารก็ไหลเข้ามือคุณ
.
การสื่อสารแบบแลกเปลี่ยนไม่ดึงดูด
ให้เกิดสายสัมพันธ์เพราะมันเป็นการฉาบฉวย
ไม่เป็นส่วนตัว แต่การสื่อสารทำนองนี้ก็ไม่ได้
ผลักให้อีกฝ่ายถอยหนีเสมอไป
.
คุณต้องเปลี่ยนจากต่อรองเป็นสร้างสัมพันธ์
โดยการตั้งคำถามซึ่งเปิดช่องให้อีกฝ่าย
บอกคุณว่า “ฉันคิดอย่างนี้” “ฉันเป็นคนแบบนี้”
หรือ “คุณมีส่วนช่วยให้ชีวิตฉันดีขึ้นด้วยวิธีนี้”
.
20.”เคียงข้าง”
การตั้งคำถามระหว่างทำกิจกรรมร่วมกัน
แล้วค่อยซักเพิ่มเติมเพื่อให้พูดคุยลงลึกขึ้น
สิ่งเหล่านี้สื่อสารได้อย่างมีพลังสุดๆ
คือมีพลังจนถือเป็นแก่นสำคัญของวิธีการ
.
21.”เติมคำในช่องว่าง”
การขอให้อีกฝ่ายเติมคำในช่องว่างช่วยขจัด
ความเสียหายจากการมองไม่ตรงกัน
ถ้าคุณเผลอสรุปความต้องการหรือแรงจูงใจ
ของใครผิดพลาด ปล่อยให้พวกเขาเป็นฝ่าย
เติมคำในช่องว่างเองแล้วคุณจะได้คำตอบตรงเป๊ะ
.
การเติมคำในช่องว่างใช้กับการขายได้ผล
เป็นพิเศษ โดยทำให้ลูกค้าไม่ทันระวังตัว
เพราะเตรียมใจว่าจะต้องโดนเสนอขาย
แบบยัดเยียด เมื่อคุณทำแตกต่างไปโดย
สิ้นเชิงอย่างที่พวกเขานึกไม่ถึง พวกเขาจะ
ลดกำแพงกั้นโดยเร็ว เทคนิคนี้ยังชวนให้
อีกฝ่ายอ่อนลงได้😀
.
พลังแท้จริงของเทคนิคเติมคำในช่องว่าง
อยู่ตรงข้อเท็จจริงง่ายๆที่ว่า คุณไม่ได้เป็นคน
บอกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หรือไม่ถาม
ด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไร แต่กลับเชิญชวน
ให้เขาบอกออกมาเองว่าต้องการอะไร
.
ภาวะแบบนี้ชวนให้อีกฝ่ายคิดทันทีว่า
“ใช่ ใช่เลย เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้คุย
กับคุณตอนนี้” ผลลัพธ์ก็คือคุณไม่ต้องลำบาก
เขี่ยประตูให้เปิด แต่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
จะเปิดประตูเชิญคุณเข้าไปเอง
.
22.”รุกให้สุดจนถึงคำว่า ‘ไม่'”
การรุกเข้าหาเป้าหมายที่ตั้งไว้ต่อไปจนกว่า
อีกฝ่ายจะตอบว่า “ไม่” คำนี้บอกให้รู้ว่า
เขาให้คุณได้มากเพียงเท่านี้ ที่สำคัญกว่านั้น
คือจังหวะดีที่สุดช่วงหนึ่งที่คุณจะอาศัย
ความสุขุมปิดการขายหรือทำข้อตกลง
.
สิ่งสำคัญในการใช้เทคนิคนี้คือลูกค้ารู้สึกว่า
ตัวเองเป็นฝ่ายคุมเกม ซึ่งเขาก็คุมได้ตลอดจริงๆ
คุณไม่ได้โอดครวญ ขู่เข็ญ หรือพยายาม
เอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ แต่ปล่อยให้เขาแจ้งข้อมูล
ตามสบาย นั่นก็คือเป็นข้อมูลที่คุณอยากได้
เพื่อสร้างความได้เปรียบ
.
23.”ขอบคุณและขอโทษอย่างมีพลัง”
การขอบคุณอย่างมีพลังไม่เพียงทำให้คนอื่นดูดี
แต่ยังทำให้ตัวคุณดูดีในสายตาทุกคน
ที่เกี่ยวข้อง เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณเห็นใจ
คนอื่น รู้จักถ่อมตัว และแคร์คนอื่น รวมทั้งแสดง
ให้เห็นว่าคนอื่นไว้ใจได้ว่าคุณพร้อมที่จะให้
เครดิตแก่คนที่ทำงานจริง ซึ่งย่อมชนะใจ
พันธมิตรคนสำคัญในแวดวงบริษัทที่ใครๆ
มักจะเดือดร้อนกับความไม่ซื่อสัตย์
.
เทคนิคนี้จะได้ผลมากเมื่อกล่าวคำขอบคุณ
อย่างมีพลังสอนมากคนทั้งกลุ่มยิ่งมีคนได้ยิน
ก็ยิ่งส่งผลอย่างยอดเยี่ยม
.
24.”ทีมงานยอดแย่”
ก่อนอื่นต้องดูตัวว่าสมัยนี้คุณและผู้จัดการอื่นๆ
อีกมากต้องรับมือกับ “ไซโล” หมายถึง
พนักงานที่หมกมุ่นกับตัวเอง นึกถึงแต่ตัวเอง
และร่วมไม้ร่วมมือกันทำงานน้อยลงทุกที
.
สมาชิกในทีมหมกอยู่แต่ในยุ้งไซโลของตน
แทบเป็นไปไม่ได้ที่งานจะสำเร็จด้วยดี
เพราะพวกเขาไม่ยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ทำให้ทุกคนทำงานลำบากขึ้น และบรรยากาศ
เริ่มย่ำแย่ พวกเขาอาจถึงขั้นแอบเล่นงาน
หรือแกล้งทำร้ายกัน😡
.
ที่ต้องทำคือทำลายกำแพงหนาที่กั้นไซโล
ดังกล่าว การจะทำอย่างนั้นได้คุณต้องอาศัย
สิ่งที่ทุกๆไซโลมีเหมือนกัน นั่นคือฟ้าเบื้องบน
(วิสัยทัศน์ร่วม) และพื้นเบื้องล่าง
(ค่านิยมร่วมกัน)😔
.
เพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้น ก็ควรคิดให้ตกว่าคุณ
ต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เข้าถึงและกระตุ้น
ให้แต่ละคนในทีมคิดว่า….
“ฉันใส่ใจโครงการนี้ และอยากทำให้ดีที่สุด”
.
25.”ไต่บันได”
เริ่มงานใหม่วันแรกอะไรคือสามอย่างที่ฉัน
ควรทำเสมอ และสามอย่างที่ฉันไม่ควรทำ
เป็นอันขาดเพื่อให้งานนี้ได้ดี
.
ต้องตระหนักว่าความสำเร็จของคุณ
ย่อมขึ้นอยู่กับการนำลูกน้องทำงานให้ดี
ซึ่งเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณสื่อสารกับ
พวกเขาได้สำเร็จผล ช่วยให้เห็นภาพได้เร็ว
มากกว่าลูกน้องแต่ละคนทำอะไรบ้าง
ทำได้ดีแค่ไหนและตรงไหนที่อาจเป็นปัญหา
เมื่อพบปัญหาก็ให้รีบจัดการ
.
ถ้าคุณจริงจังเรื่องความก้าวหน้ามาก
อย่ามองแค่เจ้านายคนปัจจุบันเท่านั้น
ยังมีคนอื่นอีกทั้งในและนอกบริษัท
ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณไต่เต้าถึง
ตำแหน่งสูงๆได้😄
.
ถ้ามีขอแนะนำให้เอาใจบุคคลนั้นในแง่ดี
ไม่ใช่แง่ร้าย คนระดับนี้ฉลาดเฉียบแหลม
สามารถช่วยชี้แนะและเปิดประตูสู่
ความก้าวหน้าให้คุณได้
.
26.”รับมือคนหลงตัวเอง”
คนหลงตัวเองพบมากทีเดียวในแวดวงธุรกิจ
นอกจากนี้คุณยังจะได้เจอคนทั่วไป
ที่แสดงพฤติกรรมหลงตัวเอง ก็คิดว่าเป็น
วิธีช่วยให้ก้าวหน้าในโลกธุรกิจ
.
จงเตรียมใจเผชิญและเตรียมตัวให้พร้อม
รับมือกับพวกหลงตัวเองทั้งของแท้ของเทียม
.
27.”หน้าใหม่ในเมือง”
ดร. อีวาน มิสเนอร์ ผู้ก่อตั้ง BNI เป็นองค์กร
อ้างอิงซึ่งประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
เขาได้ศึกษาเรื่องสร้างเครือข่ายมานานกว่า
20 ปี และสรุปว่าไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่รู้ตัว
นักสร้างเครือข่ายที่เก่งกาจอาจใช้วิธีที่
เขาเรียกว่า VCP Process®
.
⭕ V isibility (รู้จักชัด)ช่วงแรกของการเพาะบ่ม
ความสัมพันธ์ คือช่วงที่คุณกลับอีกฝ่าย
เริ่มรู้จักกันและกัน อาจผ่านการพยายาม
โฆษณาประชาสัมพันนธ์ หรืออาจผ่าน
ใครสักคนที่ต่างรู้จัก👫
⭕ C redibility (เชื่อถือ) คือคุณภาพความสำคัญ
ระดับที่ต่างฝ่ายต่างไว้ใจและเชื่อมั่นกัน
คุณกลับอีกฝ่ายเพิ่งรู้จักคุ้นเคยเริ่มคาดหวัง
กันและกัน และต่างฝ่ายทำได้สมความคาดหวังนั้น
ความสัมพันธ์จะยกระดับขึ้นเป็นเชื่อถือกัน
⭕ P rofitability(ต่างตอบแทนผลประโยชน์)
คือช่วงที่ความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์
แก่กันและกัน ทั้งสองฝ่ายพอใจประโยชน์
ที่ตนได้ คบกันแล้วได้ประโยชน์ทั้งคู่หรือเปล่า
ถ้าไม่เอื้อประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย
ความสัมพันธ์ก็น่าจะไม่ยั่งยืน
.
อย่าจดจ่ออยู่แค่ว่าตัวเองจะได้อะไรบ้าง
แต่ให้จดจ่อว่ามิตรภาพใหม่ที่คุณคบหา
จะได้อะไรบ้างดีกว่า พยายามให้มากๆ
ที่จะไม่ทำเรื่องเสียหาย แต่หากบังเอิญ
ผิดพลาดไปก็ต้องแก้ไขด้วยการ
กล่าวขอโทษอย่างมีพลัง🙇
.
28.”รับมือคนระเบิดโทสะ”
เมื่อใครสักคนเดือดดาลจนระเบิดก็คือ
ในหัวเขาคิดแต่จะโจมตี การพูดคุยโดยใช้สติ
ใช้เหตุผล ใช้ปัญญาจึงไม่ได้ผล เพราะเขา
เข้าไม่ถึงกระบวนการการคิดระดับสูงขึ้น
ซึ่งจะเตือนสติได้ว่า….
“เฮ้ย ใจเย็น แบบนี้มันบ้าแล้ว”😤
.
สมองคนเราต้องตัดสินใจว่าจะยกให้สมอง
ระดับสูงที่มีเหตุผลหรือสมองระดับดั้งเดิม
ที่ต่ำกว่ารับผิดชอบ ถ้าเลือกใช้สมองแบบ
ดั้งเดิมก็จะปิดล็อคสมองส่วนที่ใช้สติปัญญาไว้
.
กรณีเผชิญหน้าคนที่อาละวาดรุนแรง
ภารกิจของคุณคือปลดล็อคนั้น ด้วยการพูดคุย
ให้สมองเขาค่อยๆยกระดับขึ้นจาก
“ฉันอยากทำร้ายใครสักคน” เป็น “ฉันโกรธ
มากๆเลย” เป็น “ฉันต้องหาทางจัดการเรื่องนี้
อย่างฉลาด” 😤
.
ขั้นตอนนี้สอดประสานกับสมอง 3 ระดับ คือ
✅ สมองดึกดำบรรพ์แบบสัตว์เลื้อยคลาน
✅ สมองแบบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้อารมณ์
✅ สมองที่ใช้เหตุผลแบบมนุษย์
.
การจะทำให้คนที่คุมตัวเองไม่อยู่ครองสติได้
คุณต้องผลักดันให้เขาปรับเปลี่ยนไปใช้
สมองสามระดับดังกล่าว
.
29.”เข้าถึงตัวเองให้ได้”
การกระตุ้นให้เห็นใจตัวเองอย่างรวดเร็ว
มีแต่พลังจะลบล้างความผิดซึ่งกีดกั้น
ไม่ให้คุณพิจารณาเป้าหมายของตนชัดๆ
.
ขณะที่คุณวิเคราะห์เป้าหมายของตนเอง
ให้ระวังอย่าเผลอติดกับดักความคาดหวัง
หรือเธอคิดว่า “ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
ฉันถึงจะมีความสุขหรือประสบความสำเร็จ”
.
อย่าสับสนระหว่าง “มีเหตุผล” กับ “สอดคล้อง
ความจริง” มีเหตุผลแปลว่า “เหมาะควรตาม
เหตุผล” ส่วนสอดคล้องความจริงแปลว่า
“น่าจะทำได้จริง” ปกติสิ่งที่มีเหตุผลมากกว่า
ก็คือการเลิกจดจ่ออยู่กับเป้าหมายเดียว
ที่น่าจะทำได้จริง🙂
.
30.”หาทางตีสนิท”
ใครบ้างที่คุณชื่นชมและอยากพบมากๆ
ลองหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่าบุคคลนั้น
จะไปบรรยายที่ไหนแล้วหาทางไปร่วมฟัง
หรือถ้าเขาออกหนังสือก็เข้าเว็บไซต์
หรือเว็บไซต์วิจารณ์หนังสืออื่นๆแล้วโพสต์
“คำวิจารณ์อย่างมีพลัง” ถึงหนังสือเล่มนั้น
.
ถ้าคุณมีบล็อกก็ใช้โพสต์ความคิดเห็นตัวเองว่า
เขาคนนั้นเปลี่ยนหลักคิดและชีวิตคุณอย่างไร
รวมถึงเข้าไปวิจารณ์แง่บวกในสื่อสังคม
และเว็บไซต์เครือข่ายธุรกิจ
.
ภายใต้ชื่อเสียงเจิดจรัส เงินทอง และอำนาจ
คนระดับวีไอพีและลูกน้องก็เป็นเพียง
คนธรรมดาเหมือนเหมือนทุกคน
คุณจะเข้าถึงใครก็ได้ทั้งนั้นตราบ
เท่าที่คุณยินดีจะลองพยายาม✌️
.
การเข้าถึงใจคนอื่นไม่ใช่เวทมนตร์
หากเป็นศิลป์…และศาสตร์
ซึ้งง่ายกว่าที่คุณคิด😄
บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า