Search
Close this search box.

ทำอะไรใครก็ Like ด้วยเทคนิคมัดใจใน 90 วินาที

คนเราทำอะไรภายใน 90 วินาทีได้บ้าง❓
สำหรับหลายคนแค่คิดก็หมดเวลาแล้ว
แต่ในความเป็นจริง 90 วินาทีคือ
เส้นคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตเดิมๆ
กับความสำเร็จในฝันเลยทีเดียว
.
นิโคลัส บูธแมน นักจิตวิทยามือหนึ่ง
แห่งเกาะอังกฤษได้สรุปงานวิจัยออกมาว่า
เพียงคุณทำตัวให้เป็นคนน่าประทับใจ
ภายใน 90 วินาที ก็มากพอที่จะทำให้ชีวิต
ประสบความสำเร็จสูงสุดได้แล้ว🥳
.
คุณจะกลายเป็นคนที่ใครๆต่างก็พา
กันหลงรัก ได้รับความช่วยเหลือ
จากทุกฝ่ายแล้วชีวิตก็ง่ายขึ้นเป็นกอง
ภายใน 90 วินาทีเท่านั้น😀
.
.
พบกันครั้งแรก⭐
.

1.”พลังของผู้คน”
การปฏิสัมพันธ์คือ สิ่งที่บรรพบุรุษของเรา
ทำกันมาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว
การเชื่อมโยงคือ สิ่งที่สมองเราทำได้ดีที่สุด
มันรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสต่างๆของเรา
และประมวลผลด้วยการเชื่อมโยงข้อมูล
สมองเกิดความเพลิดเพลินและเรียนรู้
จากการเชื่อมโยงเหล่านี้มันเติบโต
เจริญงอกงามเมื่อมีการเชื่อมโยง
.
การเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชุมชน
ชุมชนคือ การเชื่อมความสัมพันธ์มากมาย
ที่รวมกันจนถึงจุดสูงสุด
.
เราต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น
เป็นเรื่องธรรมดา ในชุมชนมีผลประโยชน์
ร่วมกันที่แบ่งปันกัน แล้วจึงดูแลซึ่งกันและกัน
.
ชุมชนที่เชื่อมสัมพันธ์กันจะมอบความแข็งแกร่ง
และปลอดภัยให้แก่สมาชิกเมื่อเรารู้สึกแข็งแกร่ง
และปลอดภัย เราก็จะได้ใช้แรงที่ได้มา
เพื่อนำไปพัฒนาสังคม วัฒนธรรมและจิตใจ
.
เรายังได้รับประโยชน์จากผู้อื่นทางด้านอารมณ์
บางคนทำให้ร่างกายเรารู้สึกมีชีวิตชีวา
เรียกว่า “ความรัก”
.
เหตุผลที่เราต้องทำตัวให้น่าเข้าใกล้
ภายใน 90 วินาที หรือน้อยกว่า เกี่ยวข้องกับ
สมาธิที่สั้นลงทุกวันของมนุษย์
.
คนทั่วไปตั้งสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ได้นานแค่ประมาณ 30 วินาทีเท่านั้น
คนเราต้องการความแปลกใหม่
ความเพลิดเพลิน ถ้าไม่มีอะไรใหม่หรือ
น่าตื่นเต้นให้จดจ่อ เราก็จะไขว้เขว
และล่องลอยไปหาสิ่งอื่นที่น่าดึงดูดกว่า
.
.
2.”ความประทับใจแรกพบ”
เป้าหมายหลักในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
มีหัวใจหลับอยู่ 3 ประการด้วยกัน

.

การพบปะ
ถ้าคุณสร้างความประทับใจได้โดนใจอีกฝ่าย
ภายใน 3-4 วินาทีแรก เขาก็จะรู้สึกได้ทันที
ว่าคุณเป็นคนจริงใจ ไม่มีพิษภัย และไว้วางใจได้
โอกาสที่จะเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์ก็อยู่ไม่ไกล
📍การทำให้คนชอบ
คือ การสร้างความเหมือน สร้างพื้นที่สุขสบาย
ให้คนสองคนเชื่อมโยงกันทางจิตใจได้
เมื่อคุณทำให้คนชอบได้ พวกคุณแต่ละคน
ก็จะมอบบางสิ่งให้อีกฝ่าย เช่น ความใส่ใจ
ความอบอุ่น อารมณ์ขัน แต่ละคนก็จะได้รับ
บางสิ่งกลับมา เช่น อารมณ์ร่วม ความเห็นอกเห็นใจ
หรือบางทีอาจเป็นมุกตลกเจ๋งๆ
สิ่งเหล่านี้คือ สารหล่อลื่นที่ทำให้สังคมของเรา
ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น🙂
📍การสื่อสาร
การสื่อสารของคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ขึ้นอยู่กับตัวคุณ 100%
คุณเป็นคนส่งสารเองกับมือ และคุณคือ
ผู้รับผิดชอบที่จะทำให้มันได้ผล
ถ้าไม่ได้ผล ก็คุณที่ต้องเป็นคนเปลี่ยน
พฤติกรรมของตัวเองจนกว่า
จะได้สิ่งที่ต้องการในที่สุด
.
คุณจะได้เรียนรู้วิธีวางตัวให้เหมาะสม
สอดคล้อง กับสัญญาณที่ผู้อื่นส่งให้คุณ
เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจ เมื่ออยู่ใกล้คุณ
.
นอกจากนี้ความสำคัญของน้ำเสียง
ถือว่ามีอิทธิพลต่ออารมณ์และความรู้สึก
ที่เราต้องการสื่ออีกด้วย
.
.
ทำให้คนชอบใน 90 วินาที⭐
.

3.”คนๆนี้มีบางอย่างที่ฉันชอบมาก!”
ความดึงดูดมีอยู่ทั่วทุกที่ในจักรวาล
ไม่ว่าคุณจะอยากเรียกมันว่าแรงดึงดูด
ขั้วแม่เหล็ก ไฟฟ้า หรือเสน่ห์ มันก็ยังเป็น
ความดึงดูดอยู่ดี ที่เป็นต้นทุนของทุกสิ่ง
.
เราดึงดูดและชื่นชอบคนที่เหมือนกับเรา
โดยธรรมชาติ แม้จะแทบสังเกตไม่เห็น
สำหรับบางคน แต่กับบางคนกลับชัดเจนมาก
.
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอาศัยในชุมชน
เป็นเรื่องปกติและไม่แปลกที่ผู้คนเข้ากันได้ดี
มากกว่าทะเลาะกัน
.
แต่ที่น่าขำคือสังคมกลับสร้างเงื่อนไขให้เรา
ต่างก็หวาดกลัวกันและกัน
สร้างเขตแดนระหว่างตัวเรากับผู้อื่นขึ้นมา
เราอาศัยอยู่ในสังคมที่เสแสร้งว่า
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นถูกส่งผ่าน
ความรัก แต่ในความเป็นจริงกลับมาจาก
ความหวาดกลัว😢
.
.
4.”ทัศนคติคือทุกสิ่ง”
ทัศนคติกำหนดคุณภาพและอารมณ์
ของความคิด น้ำเสียง รวมถึงถ้อยคำที่พูด
ที่สำคัญที่สุดยังควบคุมสีหน้า
และภาษากายของคุณด้วย
.
จินตนาการคือ พลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณมี
แข็งแกร่งยิ่งกว่าความมุ่งมั่นของคุณเสียอีก
จินตนาการแสดงให้คุณพบเห็นประสบการณ์
ผ่านทั้งทางรูปแบบของภาพ เสียง
ความรู้สึก และรสชาติ
.
จินตนาการของคุณบิดเบือนความจริง
มันทำประโยชน์ให้คุณหรือต่อต้านคุณก็ได้
ทำให้คุณรู้สึกดีหรือหดหู่ได้อีกเหมือนกัน
.
ดังนั้นยิ่งคุณมีจินตนาการดีเท่าไหร่
คุณก็จะจัดการกับความคิด ทัศนคติ
ท้ายที่สุด ชีวิตของคุณได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น
.
.

READ  ใช้สมอง เปลี่ยนชีวิต

5.”การกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริงๆ”
ภาษากายหลายคนชอบคิดว่ามันหมายถึง
ท่าทางตั้งแต่คอลงมา แต่สารที่เราส่งไป
และสิ่งที่ผู้อื่นใช้ประเมินตัวเรามาจากคอขึ้นไป
เสียมากกว่า สีหน้า การพยักหน้า และเอียงคอ
มีความหมายเท่ากับสิ่งที่ร่างกายต่างจากคอ
ลงมาแสดงออก หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ
.
สีหน้าและภาษากายต่างก็มีหน้าที่
ปกป้องดูแลศูนย์กลางของอารมณ์
และความรู้สึกนั่นคือ “หัวใจ”❤️
.
เราแบ่งภาษากายออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
.
ภาษากายแบบเปิด
ร่างกายของคุณโกหกไม่เป็น มันสื่อความคิด
และความรู้สึกของคุณด้วยภาษาของมันเอง
ไปที่จิตใต้สำนึกของผู้อื่น
โดยปราศจากการชี้นำของคุณ และผู้อื่น
จะเข้าใจภาษากายของคุณอย่างถ่องแท้
ความขัดแย้งใดๆก็ตามในภาษา
อาจขัดขวางการสร้างมิตรภาพได้
ภาษากายแบบปิด
คนเราปิดกั้นตัวเองค่ะท่าทางที่ปกป้องร่างกาย
และป้องกันหัวใจ เราจะพบเห็นการกอดอก
บ่อยที่สุด การกอดอกปกป้องหัวใจและปกปิด
ความรู้สึกของคุณเอาไว้
.
บางครั้งท่ากอดอกจะทำให้คุณผ่อนคลาย
แต่การกอดอกแบบผ่อนคลาย และแบบ
การป้องกันตัวนั้นมีความแตกต่างที่ชัดเจน
.
ท่าทางแบบปกป้องตัวเองเกิดขึ้นเร็ว
และอยู่นอกเหนือการควบคุมของจิตใต้สำนึก
ร่างกายของคุณมีความคิดของมันเอง
และถูกควบคุมโดยทัศนคติที่เป็นประโยชน์
หรือไร้ประโยชน์
.
ท่าทางแบบป้องกันตัวเองที่เห็นได้ชัดที่สุด
คือการหลบสายตาอีกฝ่าย
การอยู่ไม่สุขคือ ท่าทางในแง่ลบอีกอย่าง
ซึ่งแสดงให้เห็นความหงุดหงิด
หรือกระวนกระวายได้เช่นกัน
.
ภาษากายสำคัญที่สุดมันเป็นหน้าตา
ของการสื่อสารก็ว่าได้ ทั้งท่าทางของเรา
การแต่งกาย การเคลื่อนไหว อิริยาบถ และอื่นๆ
.
.
6.”เราชอบคนที่เหมือนตัวเอง”
เราทำตัวให้กลมกลืนเหมือนกับคนอื่น
โดยไม่รู้ตัวมาตั้งแต่เกิด จังหวะการทำงาน
ในร่างกายของทารกถูกปรับให้พร้อมเพรียง
กับของแม่ อุณหภูมิของเด็กอ่อนได้รับอิทธิพล
จากอารมณ์ของพ่อ เด็กเลือกของเล่นโปรด
ให้เหมือนของเพื่อนสนิท รสนิยมของวัยรุ่น
จะต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เท่เก๋ไก๋
และความชอบของผู้ใหญ่ได้รับอิทธิพล
จากคู่ครอง เพื่อน และสังคม
.
เราทำตัวให้กลมกลืนกับคนที่อยู่รอบข้าง
ตลอดทั้งวัน เรามีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
ของกันและกันเสมอ ทุกวินาทีที่เราอยู่กับผู้อื่น
เราก็จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง
ทีละเล็กละน้อยและผู้อื่นก็ปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมของพวกเขาให้เข้า
กับเราด้วยเช่นกัน🙂
.
การทำทัศนคติกลมกลืน ต้องปรับเปลี่ยน
ตามบรรยากาศและสถานที่เป็นสำคัญ
เรามาทำให้ทัศนคติกลมกลืน
เพื่อสนับสนุนคนอื่น จับความรู้สึกของคนอื่น
เคลื่อนไหว หายใจ และแสดงสีหน้า
ให้เหมือนพวกเขาขณะที่คุณ “ใกล้ชิด”
กับพวกเขา….
.
จงปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ในน้ำเสียง
ของพวกเขาและสะท้อนมันกลับไป
.
การทำภาษากายให้กลมกลืนมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ
คือ การทำเหมือนหมายถึง ทำสิ่งเดียวกับอีกฝ่าย
และการสะท้อนหมายถึง เคลื่อนไหวราวกับ
คุณกำลังมองอีกฝ่ายในกระจก
.
ทำเสียงให้กลมกลืน เสียงมีส่วนอยู่ 38%
ในการสื่อสารแบบเผชิญหน้า
สะท้อนให้เห็นว่าคนหนึ่งรู้สึกอย่างไร
หรือพูดอีกอย่างว่ามันสะท้อนทัศนคติ
ของอีกฝ่าย คนที่สับสนจะฟังดูสับสน
คนที่อยากดูอยากเห็นจะฟังดูอยากรู้อยากเห็น
คุณสามารถเรียนรู้ที่จะทำสิ่งให้กลมกลืน
กับผู้อื่นได้😌
.
.
เคล็ดลับของการสื่อสาร✨

 7.”อย่าเอาแต่พูดให้ฟังด้วย”
การสนทนาสู่วิธีที่สำคัญมากในการสร้าง
ไมตรีจิตและเร่งให้เกิดความผูกพันฉันมิตร
.
การสนทนาแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญเท่าๆกัน
คือ การพูดและการฟัง หรือการถามและฟัง
อย่างตั้งอกตั้งใจ
.
คุณอาจเคยอยากพูดคุยกับใครสักคน
แต่จู่ๆก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
สิ่งแรกคือ การทำให้อีกฝ่ายพูดจากนั้น
ก็หาว่าเขาหรือเธอสนใจอะไร
และทำตัวให้สอดคล้องกลมกลืน
.
นี่คือการพูดคุยสัพเพเหระ หรือการล่ามิตรไมตรี
คือเวลาที่คุณจะค้นหาความสนใจร่วมกัน
และค้นหาวิธีอื่นๆในการก้าวไปสู่ความสัมพันธ์
.
การเริ่มสนทนาคือ เริ่มด้วยหัวข้อที่เกี่ยวกับ
สถานที่หรือวาระจากนั้นจึงถามคำถามเปิด
ใช้คำพูดแบบเปิด..
.
การสนทนาที่ดีเป็นเหมือนการเล่นเทนนิส
แบบสบายๆ โดยใช้ถ้อยคำถูกตีไปมา
ตราบเท่าที่ควบคุมอย่างมีความสนใจร่วมกัน
.
การฟังคือเหรียญอีกด้านของการสนทนา
ในฐานะนักฟังที่ดีคุณจะต้องแสดงให้เห็นว่า
คุณสนใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
.
การฟังต่างกับการได้ยิน การฟังอย่างตั้งใจ
คือการพยายามจับใจความ ทำความเข้าใจ
ข้อเท็จจริงและรู้สึกที่ซ่อนอยู่
ในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด🤗
.
การฟังอย่างตั้งใจหมายถึง การโต้ตอบต่อ
ความรู้สึก ต้องตอบด้วยภาษากาย
ใช้ภาษากายแบบเปิดและให้กำลังใจ
พยักหน้าแสดงความเห็นด้วย
สบตาบ่อยครั้งแต่อย่าจ้อง มองไปทางอื่น
อย่างครุ่นคิด หรือโต้ตอบอะไรก็ได้
ที่เหมาะสมกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
ซึ่งเกิดจากทัศนคติที่เป็นประโยชน์
อย่างแท้จริงของคุณ🙂
.
.

8.”ทำความเข้าใจประสาทสัมผัส”
ปี 1970 ริชาร์ด แบนด์เลอร์ และจอห์น กรินเดอร์
ผู้คิดค้นวิชาโน้มน้าวใจด้วยภาษาจิตประสาท (NLP)
.

เราแบ่งคนออกได้ 3 แบบขึ้นอยู่กับว่าพวกเขา
รับรู้โลกผ่านประสาทสัมผัสใด
โดยทั้ง 3 แบบนี้ประกอบไปด้วย
.
📍คนที่รับรู้ทางตา
📍คนที่รับรู้ทางหู
📍คนที่รับรู้ทางความรู้สึก
.
เรารับเอาข้อมูลจากโลกภายนอกเป็นภาพ เสียง
และความรู้สึก เราจึงถูกกระตุ้นด้วย 3 วิธี
.
📍จากสิ่งที่เราเห็นภายนอก หรือจินตนาการ
ภายในจิตใจ
📍จากสิ่งที่เราได้ยินทั้งภายนอก
และจากสิ่งเล็กๆภายใน
📍จากสิ่งที่เรารู้สึกหรือสัมผัส
.
.
9.”ค้นหาประสาทสัมผัสที่ผู้อื่นชอบใช้มากที่สุด”
คนต่างกลุ่มย่อมมีพื้นฐานทางร่างกาย
และจิตใจที่แตกต่างกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
.
ความแตกต่างเหล่านี้ไม่ได้ตายตัว
บอกได้คร่าวๆเท่านั้น มีอยู่ 3 กลุ่ม
.
✈️คนที่รับรู้ทางตา
คนที่รับรู้ทางตาจะใส่ใจว่าสิ่งต่างๆ
มีลักษณะเป็นอย่างไร พวกเขาอยากเห็น
เครื่องพิสูจน์หรือหลักฐานก่อนจะจริงจัง
กับเรื่องใดก็ตาม บางครั้งก็ใช้มือแตะภาพ
ที่พวกเขาเห็นขณะพูด พวกเขาประมวลภาพ
ที่ตาเห็นอย่างรวดเร็ว จึงสามารถคิดได้
อย่างกระจ่างชัดเจน
.
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่พูดเร็วที่สุด
ในหมู่พวกเรา หรือบางครั้งก็ชอบพูด
ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
.
คนที่รับรู้ทางตาชอบทำงานประเภท
ที่ต้องใช้ความมั่นใจและการตัดสินใจ
ที่รวดเร็ว หรืองานที่มีขั้นตอนการทำงาน
เฉพาะเจาะจง พวกเขาอยากเป็นผู้ควบคุม
เพราะพวกเขาวาดภาพไว้แล้วว่าสิ่งต่างๆ
ควรเป็นเช่นไร ศิลปินนักวาดจำนวนมาก
เป็นคนในกลุ่มนี้🎨🖌️
✈️ คนที่รับรู้ทางหู
คนที่รับรู้ทางหูตอบสนองต่อเสียงอย่างเปี่ยม
ไปด้วยอารมณ์😄
.
คนที่รับรู้ทางหูจะกรอกตาไปมาระหว่างพูด
และออกท่าทางน้อยกว่าคนที่รับรู้ทางตา
หรือบ่อยครั้งพวกเขาจะขยับจากข้างหนึ่ง
ไปอีกข้างหนึ่งเช่นเดียวกับ
การเคลื่อนไหวของดวงตา👀
.
คนที่รับรู้ทางหูทำงานในที่ที่มีการใช้เสียง
อยู่ทั่วไป นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์
ครูอาจารย์ นักกฎหมาย ผู้ให้คำปรึกษา
และนักเขียนเป็นต้น
✈️ คนที่รับรู้ทางความรู้สึก
เป็นคนอ่อนไหวสิ่งต่างๆต้องเป็นรูปธรรม
มีโครงสร้างมั่นคง และให้ความรู้สึกที่ใช่
เพื่อให้พวกเขาคอยตามได้
.
พวกเขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและให้บรรยากาศ
สบายๆ คนที่รับรู้ทางความรู้สึกบางคนพูดช้า
อย่างเหลือเชื่อ และชอบใส่รายละเอียดเล็กๆ
ที่อาจทำให้คนรับรู้ทางตาและหู
อยากตะโกนว่า “เข้าเรื่องซะที ขอร้อง!”
.
การแสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด
ใช้เวลานานกว่าการเปลี่ยนภาพหรือเสียง
ให้เป็นคำพูด เมื่อคนที่รับรู้ทางความรู้สึกพูด
พวกเขาจะมองรถไฟที่ความรู้สึกของตัวเอง
พวกเขาเพลิดเพลินกลับรสสัมผัสของสิ่งต่างๆ
.
คนที่รับรู้ทางความรู้สึกมี 2 ประเภท
กลุ่มหนึ่งคือพวกนักกีฬา นักเต้นรำ
คนที่ทำงานด้านบริการฉุกเฉินและการค้า
คนอีกประเทศที่แข็งแรงมาก ซึ่งการสัมผัส
เป็นสิ่งสำคัญที่สุด อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคนอ่อนไหว
ผ่อนคลาย ติดดิน ใจกว้าง ซึ่งอาจมีร่างกาย
ที่โตกว่าคนอื่น💪
.
.
นักสื่อสารที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ออกไป
เผชิญโลกทุกวันพร้อม กับแบบทักษะและกลวิธี
มากมายไปด้วย พวกเขาออกไปเผชิญโลก
โดยทำตัวตามสบาย
.
การ “ไม่ยึดติด” ทำให้ผู้คนสิ่งต่างๆ
และเหตุการณ์ในชีวิตของคุณดำเนินไป
อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือความแตกต่าง
ระหว่างคนที่พยายามแต่ไปไม่ถึงไหน
กับคนที่ดูเหมือนทำน้อยแต่ได้ทุกสิ่ง
.
ยิ่งคุณปฏิบัติตามสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากหนังสือ
เล่มนี้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสร้างความสัมพันธ์
กับผู้อื่นได้ง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น
และคุณต้องฝึกฝนด้วย ในไม่ช้า
ก็จะเป็นธรรมชาติเหมือนกับ
การขี่จักรยานหรือว่ายน้ำ🚴🏊
ซึ่งเป็นทักษะที่คุณทำสำเร็จได้
ในวันที่คุณปล่อยตัวตามสบายและกังวล

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า