การตั้งค่าแคมเปญ Facebook Ads แบบ CBO คืออะไร

การปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ (CBO)

หลายคนเคยได้ยินคำว่า CBO มาบ้างแต่ไม่แน่ใจว่ามีความหมายว่าอะไร บทความนี้จะพาไปรู้จักกันครับว่า CBO คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับคนที่ทำโฆษณา Facebook Ads

CBO คืออะไร

Facebook ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการทำ CBO เอาไว้ดังนี้ครับ

การปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ (CBO) จะจัดการงบประมาณแคมเปญของคุณสำหรับโฆษณาต่าง ๆ โดยอัตโนมัติเพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุด เมื่อใช้งาน CBO คุณจะสามารถตั้งงบประมาณแคมเปญกองกลางได้ ซึ่งงบประมาณแคมเปญกองกลางนี้จะกระจายไปยังชุดโฆษณาที่มีโอกาสที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่องในแบบเรียลไทม์ได้ตลอดระยะเวลาของแคมเปญ”

ลักษณะการทำงานของ CBO

แทนที่จะตั้งงบประมาณสำหรับชุดโฆษณาแต่ละชุด คุณสามารถตั้งงบประมาณแคมเปญแบบครอบคลุมได้ งบประมาณนี้จะมีความยืดหยุ่น ซึ่งจะใช้จ่ายมากขึ้นกับชุดโฆษณาที่มีโอกาสที่ดีที่สุด และใช้จ่ายน้อยลงกับชุดโฆษณาที่มีประสิทธิภาพต่ำ จำนวนเงินที่คุณกำหนดไว้สามารถนำไปใช้กับการใช้งานแคมเปญในแต่ละวัน (งบประมาณต่อวัน) หรือตลอดช่วงอายุแคมเปญ (งบประมาณตลอดอายุการใช้งาน) หากคุณเลือกใช้งานงบประมาณตลอดอายุการใช้งาน คุณจะสามารถเลือกที่จะแสดงโฆษณาตามกำหนดเวลาได้ ในกรณีนี้ CBO จะทำงานแม้ว่าชุดโฆษณาต่างๆ ที่กำลังใช้งานอยู่มีเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานที่ต่างกันก็ตาม

CBO อาจใช้จ่ายงบประมาณของคุณกับชุดโฆษณาต่าง ๆ ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น หากคุณมีชุดโฆษณาที่กำลังใช้งาน 2 ชุดในแคมเปญของคุณ เราอาจจะใช้จ่ายงบประมาณส่วนใหญ่ของคุณกับชุดโฆษณาหนึ่ง หากชุดโฆษณาดังกล่าวทำให้ได้รับผลลัพธ์โดยรวมที่ดีที่สุด ดังนั้น เมื่อคุณใช้งาน CBO การวิเคราะห์ผลลัพธ์ในระดับแคมเปญจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการวิเคราะห์ในระดับชุดโฆษณา

CBO เหมาะกับอะไร

  • งบประมาณแคมเปญโดยมีความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณกับชุดโฆษณาต่าง ๆ
  • ได้รับผลลัพธ์สูงสุดจากแคมเปญของคุณด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด
  • สะดวกในการตั้งค่าแคมเปญ ง่าย ไม่ต้องทำซ้ำหลายรอบ แต่ได้ทดสอบหาตัวที่ดีที่สุด

ขั้นตอนการตั้งค่าโฆษณา CBO

1 กดสร้างแคมเปญที่หน้าจัดการโฆษณา https://facebook.com/adsmanager

CBO1

2 เลือกวัตถุประสงค์แคมเปญในการปรับใช้ CBO สามารถเลือกใช้กับแคมเปญวัตถุประสงค์แบบใดก็ได้

CBO2

3 ตั้งชื่อแคมเปญ พยายามตั้งชื่อให้ชัดเจนว่า แคมเปญนี้เกี่ยวกับอะไร มีวัตถุประสงค์อะไร และในหน้านี้เราจะเจอปุ่มเปิด CBO ที่เขียนไว้ว่า การปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ ให้กดเพื่อเลื่อนเปิดการทำงานนี้ เสร็จแล้วกดถัดไป

CBO3

4 เมื่อเรากดเปิดการใช้งาน CBO แล้ว จะขึ้นกล่องให้เราตั้งค่าดังนี้ โดยจะเลือกงบประมาณต่อวัน หรือ งบประมาณตลอดอายุการใช้งาน ก็ได้ และกำหนดงบประมาณที่ต้องการให้ใช้ในแคมเปญโฆษณานี้ ( CBO จะทำงานเมื่อเราสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีชุดโฆษณามากกว่า 1 ชุด )

CBO4

แนวทางการปรับใช้ CBO

เมื่อใช้การปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ (CBO) Facebook แนะนำให้ใช้หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดต่อไปนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่แคมเปญของคุณ อ่านรายละเอียดกันได้ตามนี้เลยครับ

  • อย่าใช้ชุดโฆษณาเกิน 70 ชุดต่อหนึ่งแคมเปญหากคุณมีชุดโฆษณามากกว่า 70 ชุดในแคมเปญ คุณจะถูกจำกัดการแก้ไขที่สามารถทำได้หลังจากเผยแพร่แคมเปญไปแล้ว อย่าลืมว่ายิ่งมีชุดโฆษณาและโฆษณาในแคมเปญมากเท่าใด ก็อาจใช้เวลาในช่วงการเรียนรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
  • หลังจากทำการตั้งค่าเบื้องต้นแล้ว ให้เพิ่มชุดโฆษณาเพิ่มเติมครั้งละหลายรายการทุกครั้งที่คุณเพิ่มชุดโฆษณาใหม่ที่ใช้งานในแคมเปญ ระบบจะใช้เวลาในการปรับ CBO ประมาณ 2 ชั่วโมง
  • อย่าพักหรือเลิกพักชุดโฆษณาชั่วคราวเอง CBO จะกันวงเงินและใช้จ่ายงบประมาณแคมเปญของคุณกับชุดโฆษณาที่กำลังใช้งานอยู่ และการพักชุดโฆษณาชั่วคราวจะเป็นการลบ CBO ออกจากการพิจารณา ตัวอย่างเช่น หากงบประมาณแคมเปญของคุณมีไว้สำหรับชุดโฆษณา 2 ชุด การหยุดพักชุดโฆษณาหนึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ระบบมุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมดไปกับชุดโฆษณาที่กำลังใช้งานอยู่ ซึ่งอาจทำให้งบประมาณในแคมเปญหมดไป เมื่อคุณเลิกหยุดพักชุดโฆษณาอื่นและชุดโฆษณานั้นเริ่มทำงาน
  • ใช้วงเงินใช้จ่ายของชุดโฆษณาให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลย ยิ่งงบประมาณที่กำหนดให้โฆษณารายการใดรายการหนึ่งมีมูลค่าสูงเท่าใด ก็จะทำให้ระบบการแสดงโฆษณาของเรามีความยืดหยุ่นในการปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญน้อยลงเท่านั้น
  • หากคุณปรับการตั้งค่าแคมเปญ ให้ทำการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันหลายๆ รายการ เพื่อลดเวลาที่ใช้ในช่วงการเรียนรู้ หากคุณทำการเปลี่ยนแปลงครั้งละรายการ แคมเปญของคุณอาจจะต้องเข้าสู่ช่วงการเรียนรู้ใหม่ในทุก ๆ ครั้งที่ดำเนินการ
  • โปรดทราบว่าขนาดของกลุ่มเป้าหมายอาจส่งผลต่อการกระจายงบประมาณได้ หากกลุ่มเป้าหมายของคุณมีความแตกต่างด้านขนาดอย่างเห็นได้ชัด ชุดโฆษณาที่มีกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ที่สุดจะมีแนวโน้มได้รับงบประมาณมากที่สุดเมื่อใช้ CBO
  • อย่าพักการใช้งานชุดโฆษณาที่มีการแสดงในระดับต่ำCBO จะกระจายงบประมาณเพื่อเพิ่มโอกาสทั้งหมดที่มีให้มากที่สุด และการพักชุดโฆษณาที่มีจำนวนการแสดงต่ำของวันนี้ทำให้ CBO ไม่ค้นพบโอกาสใหม่ๆ ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนต่อการดำเนินการ (CPA) สำหรับชุดโฆษณาที่กำลังใช้งานอยู่เป็นอย่างมาก
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถแสดงชุดโฆษณาทั้งหมดในแคมเปญของคุณได้หากชุดโฆษณาใดไม่แสดงก็จะไม่มีผลลัพธ์เกิดขึ้น และจะไม่สามารถกระจายงบประมาณไปยังชุดโฆษณานั้นได้ ลองเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีระบุและแก้ไขประเด็นปัญหาการแสดงโฆษณาด้วย CBO แทนที่จะหยุดชุดโฆษณาที่มีการแสดงโฆษณาต่ำชั่วคราว
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ระดับแคมเปญ ไม่ใช่ระดับชุดโฆษณา หากต้องการทำความเข้าใจผลลัพธ์ของการปรับให้เหมาะสมกับงบประมาณแคมเปญ คุณต้องให้ความสำคัญกับจำนวนรวมทั้งหมดของเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมสำหรับแคมเปญของคุณ และดูต้นทุนต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมโดยเฉลี่ยที่ระดับแคมเปญ

ข้อมูลโดยสรุป

คุณไม่ควรตัดสินการปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมจะกระจายงบประมาณของคุณโดยอิงจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมสำหรับแต่ละชุดโฆษณาอย่างไรและเราจะใช้จ่ายงบประมาณนั้นอย่างไร คุณควรตัดสินโดยอิงจากจำนวนผลลัพธ์ทั้งหมดสำหรับแคมเปญของคุณและต้นทุนเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่ระดับของแคมเปญ

คำอธิบาย

เมื่อดูผลลัพธ์ของแคมเปญที่ใช้การปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมและกลยุทธ์การประมูลที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คุณอาจเห็นตัวเลขบางตัวที่แตกต่างจากที่คุณคาดหวัง บทความนี้อธิบายว่าจริงๆ แล้วผลลัพธ์เหล่านี้แสดงถึงอะไรบ้าง และเหตุใดคุณจึงไม่ควรกังวลว่าการปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมอาจทำงานไม่ถูกต้อง

  • การปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมและกลยุทธ์การประมูลที่มีต้นทุนต่ำสุดช่วยให้คุณได้รับค่าใช้จ่ายต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่ต่ำที่สุดสำหรับแคมเปญโดยรวม ไม่ใช่แค่เพียงชุดโฆษณาที่ระบุเท่านั้น
  • กลยุทธ์การประมูลที่มีต้นทุนต่ำที่สุดจะค้นหาเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเสมอ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาถูกหมดไป เราก็จำเป็นต้องเริ่มใช้จ่ายเงินกับเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาแพงกว่าเพื่อใช้จ่ายงบประมาณของคุณต่อไป (“เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาแพงกว่า” ยังคงเป็นเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดที่มีในขณะนั้น)
  • จำนวนเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมและอัตราส่วนของผลลัพธ์ที่ “ถูก” ต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่ “แพง” (คำอธิบายนี้เกี่ยวข้องกับประเภทของแคมเปญที่คุณใช้งานอยู่) นี้จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชุดโฆษณา ชุดโฆษณาบางชุดอาจมีเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่ถูกมากอยู่จำนวนหนึ่งและมีเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่แพงมากเป็นจำนวนมาก ชุดโฆษณาอื่นๆ อาจมีเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาปานกลางหลายเหตุการณ์

ตัวอย่าง

นี่คือตัวอย่างง่าย ๆ ที่ทาง Facebook ได้แสดงการใช้จ่ายงบประมาณของการปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมและแสดงว่าเพราะเหตุใด การรายงานราคาที่ใช้จ่ายในแต่ละชุดโฆษณาจึงอาจสร้างความสับสนได้ในช่วงแรก ๆ ( เนื้อหาส่วนนี้คัดลอกมาจาก Facebook ทั้งหมด เพื่อความสะดวกในการศึกษาเรียนรู้นะครับ )

สิ่งที่สำคัญ : โปรดทราบว่าคุณจะไม่ได้รับข้อมูลอย่างจำนวนโอกาสทั้งหมดสำหรับชุดโฆษณาแต่ละชุดหรือราคาของแต่ละผลลัพธ์เมื่อคุณใช้งานและวิเคราะห์รายงานบนแคมเปญของคุณจริงๆ

สมมติว่ามีโอกาสแสดงโฆษณาของคุณทั้งหมด 15 ครั้ง:

  • 4 ครั้งสำหรับชุดโฆษณา A
  • 6 ครั้งสำหรับชุดโฆษณา B
  • 5 ครั้งสำหรับชุดโฆษณา C

ค่าใช้จ่ายสำหรับโอกาสต่อครั้งของ A คือ $5
ค่าใช้จ่ายสำหรับโอกาสต่อครั้งของ B คือ $2
โอกาส 3 ครั้งสำหรับ C มีค่าใช้จ่าย $1
โอกาสหนึ่งราคา $7 และอีกหนึ่งราคา $8
คุณมีงบประมาณแคมเปญ $30

การปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมจะทำให้คุณ:

  • เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 12 ครั้งในราคา $30
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการปรับให้เหมาะสมหนึ่งเหตุการณ์สำหรับแคมเปญของคุณคือ $2.50

ต่อไปนี้คือวิธีการแยกย่อยผลลัพธ์ที่ระดับชุดโฆษณา

  • A: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 3 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $5 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $15)
  • B: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 6 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $2 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $12)
  • C: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 3 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $1 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $3)
READ  ข้อกำหนดการโฆษณาแบบบริการตนเอง ที่เหล่านักยิงแอดควรทราบ!

เมื่อมาถึงจุดนี้ เนื่องจากคุณไม่มีทางทราบผลลัพธ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีราคาแพงกว่าที่ระบบของเราคัดออก คุณอาจสงสัยว่า เหตุใดคุณจึงใช้จ่ายมากกับชุดโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมสูงสุด และใช้จ่ายน้อยกับชุดโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมต่ำสุด คุณอาจอยากปิดชุดโฆษณา A หรือการปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสม

ต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมการปิดชุดโฆษณา A จึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ถ้าคุณปิดชุดโฆษณา A ในโอกาสชุดเดียวกันนี้ คุณจะได้รับผลลัพธ์ต่อไปนี้:

  • เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 11 เหตุการณ์ในราคา $30
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม
    สำหรับแคมเปญของคุณคือ $2.73

ต่อไปนี้คือวิธีการแยกย่อยผลลัพธ์ที่ระดับชุดโฆษณา

  • A: ไม่มีผลลัพธ์
  • B: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 6 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $2 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $12)
  • C: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 5 เหตุการณ์
    แต่ละเหตุการณ์มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย $3.60 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $18)

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า ด้วยการเลือกเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่ A สามารถใช้งานได้ เราได้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาแพงยิ่งกว่าที่ C สามารถใช้งานได้ แม้ตอนแรก C จะมีเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมราคาถูก แต่การใช้จ่ายเงินบน C จะมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนแรก A มีเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมที่มีราคาแพงกว่า แต่ค่าใช้จ่ายต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสมของ A นั้นเสถียรกว่า ซึ่งทำให้ A เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับการกระจายงบประมาณเมื่อเวลาผ่านไป และหมายถึงการที่เราจะใช้จ่ายกับชุดโฆษณานี้มากขึ้นในภาพรวม

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการปิดการปรับงบประมาณแคมเปญให้เหมาะสมพร้อมกันจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน เพื่อทำให้เข้าใจง่าย ลองสมมติว่าคุณแบ่งงบประมาณแคมเปญ $30 ออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กันสำหรับชุดโฆษณาสามชุด แต่ละชุดมีงบประมาณ $10 นี่คือผลลัพธ์ที่จะได้สำหรับโอกาสชุดเดียวกัน:

  • เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 11 เหตุการณ์ในราคา $30
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม
    สำหรับแคมเปญของคุณคือ $2.73

ต่อไปนี้คือวิธีการแยกย่อยผลลัพธ์ที่ระดับชุดโฆษณา

  • A: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 2 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $5 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $10)
  • B: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 5 เหตุการณ์
    เหตุการณ์ละ $2 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $10)
  • C: เหตุการณ์การปรับให้เหมาะสม 4 เหตุการณ์
    แต่ละเหตุการณ์มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย $2.50 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด $10)

 

 

ตัวอย่างผลการโฆษณาที่ตั้งค่าแบบ CBO จะมีชุดโฆษณาหลายอันในแคมเปญเดียวกัน แต่การใช้งบประมาณมากน้อยแต่ละชุดโฆษณาจะต่างกันออกไป เป็นผลจากการปรับแต่งให้เหมาะสมของระบบ Facebook Ads นั่นเองครับ

บางคนอาจจะเลือกตั้งค่างบประมาณให้เท่า ๆ กันทุกชุดโฆษณาเพื่อเปรียบเทียบก็ได้ ถ้ามีงบโฆษณาที่จะทดสอบ ( A/B Testing ) แต่ถ้าต้องการทดสอบโดยไม่ต้องใช้งบเยอะ ๆ ก็ใช้ CBO ปรับแต่งและทดสอบไปเลยก็ง่ายดีครับ

สรุป สุดท้ายนะครับ ถ้าคุณจะเลือก CBO ก็ต้องทำชุดโฆษณาหลาย ๆ ชุดหน่อยในแต่ละแคมเปญ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ระบบของ Facebook ได้เรียนรู้และปรับให้เหมาะสม ให้สมกับชื่อเต็มของนั่นคือ Campaign Budget Optimization และเมื่อเลือกจะใช้ระบบแล้ว ก็ให้เวลา ให้ความเชื่อใจ ปล่อยให้ระบบทำงานไป อย่าไปเปิด ๆ ปิด ๆ ชุดโฆษณาบ่อย ๆ ครับ

อ้างอิง

https://www.facebook.com/business/help/153514848493595

https://www.facebook.com/business/help/258714594633281

https://www.facebook.com/business/help/2177212182495139

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า