ปัจจุบันสถิติคนเปลี่ยนงาน หางานใหม่นั้น นับได้ว่ามีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าบางคนในแต่ละปี เปลี่ยนงานเป็นตั้ง 4-5 ที่ก็มี ซึ่งแน่นอนล่ะว่าถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากที่จะเปลี่ยนงานบ่อยๆ แต่ก็เพราะไม่รู้จริงๆ นี่นางานที่สมัครไปมันจะดีอย่างที่ใจเราต้องการหรือเปล่า มันก็เลยทำได้แค่เสี่ยงเท่านั้น แต่ทั้งนี้ เชื่อหรือไม่ครับว่า แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถหางานที่ “ใช่” ให้กับตัวเองได้ แบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ แต่มันต้องขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยว่า เรารู้จักตัวเองดีแค่ไหน ดังนั้นวันนี้ เราจะพาไปพบกับ 4 คำถามก่อนตัดสินใจเลือกงาน ที่เราจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ดี ให้ชัวร์ซะก่อน เพื่อให้งานที่เรากำลังจะไปทำนั้น เป็นงานที่ใช่ที่เหมาะกับเรา และเราอยู่กับมันได้นานที่สุด
1. เราต้องการอะไรกันแน่ ระหว่าง “งานที่ชอบ” กับ “เงินที่ชอบ”
นี่คือคำถามที่ตรงประเด็นมากที่สุด ซึ่งทุกคนก็มักจะบอกว่า “ต้องการทั้งงานที่ชอบ” และ “เงินที่ใช่” แต่ในความเป็นจริงแล้วใจเรามันมักจะเทไปทางใดทางหนึ่งเสมอ เพราะบางคนบอกกับตัวเองว่า อยากได้งานที่ชอบนะ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินเท่าไร แต่พอเอาเข้าจริง เราได้ทำงานที่ชอบจริงนั่นแหละ แต่เงินมันไม่พอใช้ สุดท้ายก็ทำให้เราไม่สามารถอยู่ได้และลาออกไปในที่สุดอยู่ดี กลับกันกับบางทีก็บอกว่าอยากได้เงิน ขอแค่ให้ได้เงินตามที่ต้องการแค่นั้นงานอะไรก็ทำได้ แต่พอเอาเข้าจริง เราได้งานที่ได้เงินตามพอใจแล้ว สุดท้ายก็กลับอยู่ไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าเราทำงานไม่ได้ เรากดดัน ผลงานไม่ดี จนในที่สุดถ้าไม่ถูกบีบออกก็ต้องลาออกเพราะทนแรงกดดันไม่ไหวอยู่ดี
ดังนั้น นี่จึงเป็นคำถามโลกแตกคำถามตั้งต้นว่า แท้จริงแล้วเราต้องการอะไรมากกว่ากันกันแน่ ระหว่างงานที่ใช่จริงๆ กับงานที่ได้เงินมากตามพอใจจริงๆ ถ้าเราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว อีกอย่างค่อยลดทอนความคาดหวังลงมาหน่อย เพื่อประนีประนอมกับตัวเอง แล้วจะทำให้เราสามารถประคับประคองตัวเองได้กับการทำงานมากขึ้น เช่น ถ้าเราเลือกงานที่ชอบเป็นหลัก ก็ให้เรามุ่งหางานที่ชอบ แต่ว่าเรื่องเงินขอได้ไม่ต่ำกว่าเท่าไรก็ว่าไป เพื่อเป็นมาตรฐานความพอใจของตัวเราเอง แต่ถ้าเราเลือกเงิน ก็ต้องสโคปให้ชัดเจนว่า เนื้องานมีขอบเขตแค่ไหน เพื่อให้เราสามารถทำงานได้จริงนั่นเอง
2. เราคู่ควรแค่ไหน กับงานและเงินที่เราอยากได้
คำถามข้อแรกเป็นคำถามที่อาจจะตอบยากอยู่เหมือนกัน แต่เราก็จำเป็นต้องตอบไปก่อน แล้วใช้คำถามข้อที่ 2 นี้แหละครับ มาเป็นตัวตัดสินว่า คำถามข้อแรกของเรานั้นน่ะ เราคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า เพราะตามธรรมชาติ ถูกคนล้วนต้องการทำงานที่ตัวเองถนัดที่สุด และได้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่โลกในความเป็นจริงก็คือ เราต้องถามตัวเองด้วยว่าเราคู่ควรกับสิ่งที่เราอยากได้ไหม เช่น เราบอกว่าอยากได้งานสบายๆ มีลูกน้องคอยให้ใช้ ได้เงินเดือนเยอะๆ แต่เราเป็นเด็กจบใหม่ เราเป็นคนที่ทำงานมาได้แค่ไม่กี่ปี แล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นหัวหน้าเลยมาก่อน แบบนี้มันก็เรียกได้ว่าไม่สมเหตุสมผล
และถึงแม้เราจะได้ทำงานนั้นจริง เราก็อาจทำไม่ได้ดีจนต้องออกจากงานในที่สุดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความหรอกครับว่า คนที่ไม่เคยเป็นหัวหน้า จะไม่สามารถเป็นหัวหน้าได้ แต่เราเองต้องประเมินตัวเองด้วยว่า เราสามารถแบกรับความรับผิดชอบหน้าที่นั้นได้หรือเปล่าด้วย เพื่อให้เราสามารถอยู่กับงานนั้นๆ ได้นานพอจนเกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นไป การประเมินตัวเองว่าเราเหมาะกับงานกับเงินเดือนที่แค่ไหน จะทำให้เราได้งานที่เหมาะกับเราจริงๆ และเรายอมรับงานนั้นได้จริงๆ จนส่งผลให้เราสามารถอยู่กับงานนั้นได้นานพอที่จะเก่งขั้นนั่นเอง
3. เราอยากทำงานที่กำลังสมัครนี้กี่ปี
หลายครั้งการสมัครงานของเราก็มุ่งไปที่เพียงแค่เนื้องานและเงินเดือนเท่านั้น โดยเราไม่เคยตั้งเป้ากับตัวเองเลยว่า ฉันจะอยู่ทำงานนั้นๆ กี่ปี แล้วจะเปลี่ยนงาน หรือไปทำอะไรอย่างอื่น การที่เราไม่มีเป้าหมายเลยจะทำให้ พอเราเจอแรงกดดัน ก็จะพร้อมยอมแพ้ทันที เพราะเราไม่ได้มีพันธะสัญญาอะไรกับตัวเอง กลับกันหากเราตั้งเป้าว่า เราจะอยู่สักปีสองปีค่อยเริ่มคิดวางแผนเปลี่ยนงานใหม่ หรือตั้งเป้าว่าเราอยากเข้าไปทำงานที่นั่นที่นี่ เพราะอยากเรียนรู้อะไรบางอย่าง ก็จะทำให้เรารู้สึกว่า ฉันยังไม่บรรลุเป้าหมายเลย อย่าเพิ่งออกนะ อดทนก่อน และทำให้เราผ่านอุปสรรคปัญหาไปได้ทีละนิดๆ จนสามารถปรับตัวและอยู่ได้ในที่สุด
ชีวิตการทำงานที่ไร้การตั้งเป้าหมาย จะทำให้เราทำงานเพียงตาม “ความอยาก” คืออยากได้เงินเท่านี้ก็ไป อยากทำงานสบายก็หนี หนีไปเรื่อยๆ ลาออกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นทำให้เราเอง เป็นคนที่เหลาะแหละ รู้อะไรก็รู้ไม่จริง เชี่ยวชาญอะไรครึ่งๆ กลางๆ และจะลำบากในภายหน้าได้ กลับกันหากเราตั้งเป้าหมายชัด มีวินัยกับตัวเอง อดทน เรียนรู้ ก็จะทำให้เราสามารถอยู่กับบริษัทๆ หนึ่งได้อย่างมีผลลัพธ์ คือแม้จะอยู่ไม่นาน แต่เราก็ได้เติบโต ได้พัฒนาตัวเองตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ใช่พอไม่ได้ดั่งใจแล้วก็ใช้วิธีลาออกเป็นการแก้ปัญหา
4. ถ้าเราไม่ได้งานที่เราอยากทำ เราจะทำอย่างไรกับชีวิต
ถ้าสุดท้ายแล้วไม่มีงานไหนเลยที่ตอบโจทย์กับเราจริงๆ แล้วก็คงจำเป็นต้องสร้างงานนั้นขึ้นมาด้วยตัวของเราเอง มันอาจจะไม่ได้ง่าย แต่ก็มีเพียงเราเท่านั้นแหละที่จะสามารถดีไซน์งานที่ดีที่สุด ที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้ เพราะคงไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่ากับตัวเราเองอีกแล้ว ซึ่งถ้าสรุปแล้วเราเองก็ยังไม่พร้อมที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือทำงานอิสระ เราก็จำเป็นต้องกลับไปต่อรองกับความพอใจของตัวเราเองว่า งานใดกันแน่คืองานที่ดีที่สุด จาก List ที่เรากำลังมองหาอยู่ แล้วก็สมัครงานนั้นไป และก็บอกกับตัวเองว่า เราต้องอยู่กับงานนั้นให้ได้นานที่สุด จนกว่าเราจะเจองานที่ใช่กว่านี้ จนกว่าเราจะพร้อมทำอาชีพอิสระของตัวเราเองได้ เพื่อให้เราไม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนงานไปเรื่อย และอาจประสบปัญหากับการไม่มีงานทำ จนทำให้ชีวิตตัวเองและคนรอบข้างต้องเดือดร้อน
การเปลี่ยนงานบ่อย บางทีก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราเจองานที่ใช่จริงๆ แต่บางทีมันก็อาจทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่มีความอดทน และคาดหวังกับตัวเองสูงโดยไม่ได้ประเมินตนเองก็ได้ กว่าที่ใครคนหนึ่งจะเจองานที่ใช่ เงินที่พอใจ บางทีมันก็ต้องปล่อยให้ระยะเวลาเป็นตัวสร้างงานนั้นขึ้นมาให้เรา เส้นทางอาชีพล้วนต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์ จนสุกงอมพอที่จะทำให้เราได้รับผลลัพธ์อย่างที่ใฝ่ฝัน ดังนั้น จงอยู่กับงานแต่ละงานให้ดีที่สุด จงเรียนรู้กับแต่ละบริษัทให้ดีที่สุด ไม่ใช่หมายถึงว่าอยู่นานแค่ไหน แต่หมายถึงอยู่เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างจริงๆ โดยไม่เอาแต่หนีไปเรื่อยๆ เพราะการทำแบบนั้น จะทำให้แต่ละปีของเราผ่านไป แบบที่ไม่ได้สั่งสมประสบการณ์ที่แท้จริง และเมื่อปราศจากประสบการณ์การทำงานที่เข้มข้น เราก็ไม่อาจค้นเจองานที่ใช่ที่เหมาะสมกับตัวเรา ทั้งเนื้องานและผลตอบแทนได้จริงๆ แน่นอน