ปัญหาการเงินอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด มีหลายคนที่มีปัญหาแต่ไม่รู้ตัว เราจึงเห็นลูกหนี้บัตรเครดิต ที่ผิดชำระหนี้ ทั้งที่รู้ว่า ดอกเบี้ยนั้นสูง แต่ไม่ได้รู้ถึงอำนาจของดอกเบี้ย (เงินกู้) แบบทบต้นทบดอก บางคนเผลอไปเป็นหนี้นอกระบบ หลายๆ กรณีเริ่มต้นด้วยคำว่า “ไม่รู้”
ก่อนจะเอาตัวรอด ต้องรู้ก่อนนะคะว่า กำลังแย่ระดับไหน เริ่มหมุนเงินไม่ทัน เริ่มเครียดกับรายรับรายจ่ายหรือเปล่า สัญญาณบอกเหตุมีนะคะ แต่หลายคนเลือกมองข้ามไป แบบนี้ไม่เรียกว่า มองโลกในแง่บวกนะ แต่เป็นความประมาททางการเงิน
คนที่มีรายได้ประจำ เช่นเงินเดือน อาจจะมีปัญหาไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นฟรีแลนซ์ หรืออาชีพที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง เช่นพ่อค้า แม่ค้า หรือแม้แต่เจ้าของกิจการเองก็ตาม การประเมินรายได้ในอนาคตผิดพลาด ก็เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน
เพราะรายจ่าย เป็นอะไรที่มีแต่จะปรับขึ้นทุกวัน ถ้าเราไม่ระมัดระวังให้ดี เรากินมากขึ้น แพงขึ้น ใช้ของดีขึ้น น้อยคนนักที่จะปรับลดระดับความพอใจลงได้ (ถ้าไม่ถึงจุดวิกฤต)
แอนมีสามขั้นตอนการเอาตัวรอดในช่วงวิกฤตการเงินมาแบ่งปัน เป็นแนวทางง่ายๆ จากที่ได้เป็นวิทยากรและบรรยายด้านการเงินแก่หลายๆองค์กร พบผู้ฟังที่มีปัญหาการเงินจริง ทำให้เข้าใจว่า ของจริงกับตำรา ไม่ได้เป็นเหมือนกัน
เลือกหัวข้ออ่าน
ขั้นที่หนึ่ง ยอมรับว่ากำลังมีปัญหา
ขั้นตอนการรับรู้ว่ามีปัญหาคือ ต้องหาเวลา ใช้สติ สำรวจบัญชีการเงินของตัวเอง เอาให้ละเอียดสุด เท่าที่จะทำได้นะคะว่า ปัจจุบัน รายได้ รายรับต่อเดือนเป็นเท่าไหร่ ถ้าเป็นรายได้แบบไม่แน่นอน ก็ต้องประเมินในแบบที่ต่ำกว่าเกณฑ์นิดหน่อยนะคะ อย่าคาดว่า พรุ่งนี้จะโชคดีมีงานเข้า
สำรวจรายจ่ายต่อเดือน รายจ่ายที่รอจ่ายในอนาคตเช่น ค่าเทอม ค่าประกันรถ ค่าใช้จ่ายที่ต้องมีแน่นอน รวมถึงภาษีด้วยนะคะ เราจะได้รู้ว่า บัญชีการเงินของเรากำลังเป็นบวกหรือลบ แล้วจะจัดการอย่างไรได้บ้าง
อย่าลืม ทำบัญชี ต้องเขียนออกมานะคะ จดบันทึกให้เป็นระเบียบ ให้ชัดเจน รู้กันไปเลยว่า วิกฤตการเงินนี้ ใหญ่โตแค่ไหน หรือแค่ ปัญหาเล็กๆ ชั่วคราว
ขั้นที่สอง ลด (สิ่งไม่จำเป็น)
มีคำศัพท์เท่ห์ๆ Simplify Your Life แบบว่าทำชีวิตให้ง่ายขึ้น ตัดสิ่งไม่จำเป็นออกบ้าง ทานข้าวแกงบ้าง ทานที่บ้านบ้าง เปลี่ยนจากกาแฟสด แก้วละ 80 เป็นชงกาแฟทานเองบ้างได้ไหม หรืออะไรบ้างที่ประหยัดเพิ่มได้ อะไรบ้างที่ “เลิก” ได้เลย มีหลายอย่างนะคะ ที่เราจ่ายไปแบบไม่ทันระวัง จ่ายด้วยความเคยชิน เช่น ค่าโทรศัพท์ เราจ่ายในแพคเกจที่เหมาะสมไหม ค่าเคเบิลทีวีที่ไม่ค่อยได้ดูแล้ว รวมทั้งค่าใช้จ่าย จิปาถะ ที่เรามองข้ามไปเสมอ เพราะคิดว่า เล็กๆน้อยๆ
อย่าเพียงแค่คิดนะคะ ต้องเขียนออกมาเลย รายจ่ายอะไร หรือกิจกรรมอะไรที่จริงๆแล้ว มันเยอะ มันไม่จำเป็น บางทีนอกจากเงินที่มีเหลือ เพื่อนๆอาจได้เวลาเพิ่มมาเป็นของแถมด้วยนะคะ และเวลานี่แหล่ะ ที่มีค่า ถ้าเรารู้จักเพิ่มค่าให้กับมัน
ขั้นที่สาม เพิ่ม (รายได้)
“ไม่เคยมีใครร่ำรวยจากการประหยัด” แต่มักเริ่มต้นด้วยการหาเงิน หารายได้ และต้องมีรายได้หลายช่องทาง คำว่าหลายช่องทาง อาจจะหมายถึง ทำงานหลายอย่าง หรือ ทำงานอย่างเดียวแต่มีลูกค้าหลากหลาย ไม่ใช่ทำงานประจำมีรายได้ทางเดียว แบบเดียว
Amplify Your Money หลังจากลดรายจ่าย ก็ต้องมาเพิ่มรายได้ ขยายพลังเงินออกมา ขยายพลังของตัวคุณออกมา ทำอะไรเพิ่มได้บ้าง ลงทุนตรงไหนได้ มีเวลาช่วงไหนที่จะใช้ได้บ้าง รวมถึง มีของอะไรที่ไม่ใช้แล้ว เอาออกมาขายได้ มีความรู้อะไรที่มีแล้ว เอาออกมาทำเงินได้ มีคอนเนคชั่นอะไร ที่มีแล้วจะช่วยต่อยอดได้ มีลูกค้าเก่ารายไหน ที่เพิ่มยอดใหม่ๆได้
ลองมองธุรกิจที่คุณเคยรับรู้มา แต่ไม่สนใจเมื่อหลายปีก่อน โลกออนไลน์เปลี่ยนไป ขายของออนไลน์ได้ง่ายขึ้น สินค้าหรือธุรกิจหลายอย่างเช่น ประกันชีวิต หรือธุรกิจเครือข่าย ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น แม้คุณจะไม่ถนัดในการพบเจอคนใหม่ๆ
การขยายขอบเขตของรายได้ เกี่ยวข้องกับ การขยาย Comfort Zone โดยตรง เพราะคุณต้องทิ้งช่วงเวลาหรือกิจกรรมสบายๆที่คุณคุ้นเคย เปลี่ยนจากการดูละครมาอ่านหนังสือแทน เปลี่ยนจะการเที่ยวห้างวันหยุดไปฟังสัมมนาทางธุรกิจบ้าง คนที่เปลี่ยนได้มากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะได้เติบโตในทิศทางใหม่ๆได้
อย่างไรก็ตาม จะปรับลด หรือปรับเพิ่ม ขอให้มั่นใจว่า คุณยังเป็นตัวตนในแบบที่เป็นคุณ อย่าพยายามเป็นเหมือนใคร เรียนรู้และปรับใช้ให้เหมาะสมในแบบของเรานะคะ เพราะ ชีวิต ต้องมีความสุข ถ้ามีเงินแล้วไม่มีความสุข นั่นก็แสดงว่า คุณกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอนค่ะ.