พ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่ แค่เปิดเพจก็ขายของได้ คงเป็นสิ่งที่เราได้ยินกันบ่อยๆ สำหรับบางคน Facebook คือช่วงเวลาพักผ่อน สำหรับบางคน Facebook คือช่องทางการตลาด สร้างรายได้มหาศาล มาดูกันครับ ความผิดพลาดสิบประการสำหรับการทำการตลาดบน Facebook ที่รู้แล้วอย่าได้พลาดครับจะได้ไม่เจอปัญหาว่า เปิดเพจแล้วแต่ยังขายของไม่ได้
1. คิดว่า Facebook คือของเล่นของคนไม่มีอะไรทำ อันนี้เรียกว่าผิดตั้งแต่เริ่ม หลายคนใช้ facebook เพื่อติดตามเพื่อน ญาติพี่น้อง และเล่นเกมส์ ถามว่าผิดไหมคงไม่ผิด แต่น่าเสียดายที่คุณพลาดโอกาสทำเงินไปเสียแล้ว
2. ขายของบน Facebook ส่วนตัว ข้อนี้คุณต้องรู้ครับ ว่าการที่คุณโพสต์อะไรบนหน้า facebook ของตัวเอง ก็จะมีแต่คนที่เป็นเพื่อนคุณนั่นแหล่ะที่จะมีสิทธิเห็น และก็ไม่ได้เห็นทุกคนด้วย เห็นเฉพาะกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยๆเท่านั้น สังเกตไหมครับ คุณมีเพื่อนห้าร้อยคน คุณก็จะเห็นอัพเดตจากเพื่อนไม่กี่คน การโพสต์ขายของบนหน้าFacebook ตัวเองนอกจากไม่ได้ผล จะทำให้เสียเพื่อนได้อีก ระวังให้ดีครับ
3. เปิดเพจสร้าง Facebook page แล้วคิดว่าเดี๊ยวก็ขายได้เอง ต้องบอกว่าหมดยุคของฟรีมานานแล้วครับ สิ่งที่คุณโพสต์ไปจะเห็นได้เฉพาะคนที่เคยกด Like และอีกกรณีคือ มีคนแชร์บทความคุณต่อไปเท่านั้น แล้วทำอย่างไรให้คนแชร์ ข้อนี้ติดตามบทความต่อๆไปได้เลยครับ
4. เปิดเพจขายของแต่อัพเดตเนื้อหาตามใจ ไม่ชัดเจนว่าจะสื่ออะไร ตอนเช้าโพสต์ข่าว (เพราะดูเรื่องเล่าข่าว) สายหน่อยบ่นรถติด เที่ยงโพสต์อาหาร เย็นโพสต์ข้อคิดดีๆ ค่ำๆโพสต์เรื่องตลก แบบนี้ไม่ไหวนะครับ เอาให้แน่ว่าคุณจะมาแนวไหน สาระ หรือสนุก โอเค อาจมีสลับบ้าง แต่ต้องมีจุดเชื่อมที่เกี่ยวข้องกันได้ ไม่ต้องโพสต์เยอะ แต่เน้นคุณภาพ ทั้งรูปและเนื้อหา และอย่าลืมครับ เทคนิคการโพสต์ทั้งตัวหนังสือ รูป (จะกี่รูปดี แบบไหนดี) ที่สำคัญเทรนด์วิดีโอ อย่าพลาดครับ
5. เปิดเพจตั้งชื่อเพจเอาเท่ห์ แต่ไม่สื่อสิ่งที่ต้องการบอก facebook เปิดโอกาสให้เราตั้งชื่อเพจได้ยาวพอสมควรนะครับ ใช้ประโยชน์ให้คุ้มๆ และเคล็ดลับคือ ชื่อที่คุณตั้งเนี่ย มันเป็น keyword สำหรับ Google search ด้วยนะครับ ตั้งดีๆ คุณก็ได้ลูกค้าจาก Google ถ้าถึงจุดนั้น คุณก็ไม่ต้องง้อพี่มาร์คอีกต่อไป ข้อนี้ผมมีเทคนิคมาฝากบทความต่อๆไป อย่าลืมติดตามกันนะครับ
6. เน้นขายสินค้าแต่ทำโฆษณา โปรโมท แบบไม่มีกลยุทธ์ เอาแต่ยอด Like ยอด like คือตัวที่ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ยอด like ช่วยกรองคนที่สนใจเนื้อหา หรือสินค้ามารวมๆกันไว้ เป็นกลุ่มแฟนเพจ มันจะมีประโยชน์ในการสื่อสารต่อไป เวลาคุณโพสต์เนื้อหาสำคัญ หรือโปรโมทสินค้า จะได้เลือกเฉพาะคนที่ like เพจคุณ มันก็เหมือนการชกมวย คุณมีเพจ มีสมาชิกแฟนเพจ คุณก็มีโอกาสชกได้ตรงเป้า ยิ่งคนคุ้นเคยกัน เคยตามผลงานกัน ยิ่งประสบความสำเร็จง่ายขึ้นครับ แต่บางกรณียอด like ก็ไม่ได้สำคัญมาก ถ้าสินค้าคุณดีพอ ไม่ต้องทำโฆษณาหายอด like เพจเลย ทำโปรโมทโพสต์ โปรโมทสินค้าก็เพียงพอครับ
7. เปิดเพจขายของแต่มีคนดูแลเพจ Admin เพียงคนเดียว สั้นๆ ง่ายๆ คือ คุณกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการโดนแฮ็ก ขโมยเพจ หรือลืม password การมีคนร่วมเป็นแอดมินด้วย ย่อมดีกว่าครับ แต่หาคนที่ไว้ใจได้นะครับ เคยมีกรณีตัวอย่าง บริหารเพจซะดี แฟนเพจเป็นแสน พอเปลี่ยนมือถือ เข้าไปจัดการไม่ได้ จำรหัสผ่านก็ไม่ได้ จบข่าว
8. เปิดเพจขายของโดยฝากชีวิตไว้กับ Facebook ที่ต่างประเทศไม่ได้นิยมค้าขายกันผ่าน facebook มากเหมือนบ้านเรา เขามองว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเท่านั้น เพราะถ้าคุณให้น้ำหนักที่เดียว วันไหนพี่มาร์คแกออกกฏแปลกๆมา ต้องมากลุ้มใจอีก สิ่งที่คุณต้องมีคือ เว็บไซต์หรือบล็อก(ไม่ต่างกัน) โซเชี่ยลแบบอื่น ไลน์ หลายคนให้ลูกค้าติดต่อผ่าน inbox เท่านั้น แต่ความจริงคือ คนซื้อก็ไม่ไว้ใจนะครับ ว่าเพจนี้มีตัวตนคือใคร แต่กรณีไลน์ ลูกค้าสบายใจที่ได้คุยกับคนดูแลจริงๆ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็มีผลครับ ต่างคนต่างจริตกัน เราควรเตรียมช่องทางการติดต่อให้หลากหลาย แต่อย่าเยอะจนคุณปวดหัวเองเสียล่ะครับ
9. เลือกสินค้า และบริการผิด แม้จะมีคนโปรโมทในสัมมนาว่า ขายบ้าน ขายรถ ขายอาหารก็ทำบน Facebook ได้ ใช่ครับทำได้ แต่คุณต้องไปเจาะลึกด้วยว่า เขาทำแบบไหน ให้ facebook เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการตลาด หรือเป็นทุกอย่าง สินค้าบางอย่างต้องลอง ต้องนำเสนอ ถ้าคุณใช้สื่อแบบที่กระจายได้ทั่ว แต่คุณบริการได้แค่ปากซอย คงไม่คุ้มที่จะไปลงทุนมากเกินไป
10. ระบุกลุ่มเป้าหมายไม่ได้ จุดเด่นของการตลาดแบบ facebook marketing คือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ถูกกลุ่ม (มากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ) เราระบุอายุ เพศ การศึกษา สถานศึกษา ที่ทำงาน นายจ้าง ความสนใจต่างๆ ได้มากมาย (ถ้าคนเล่นใส่ข้อมูลจริงนะครับ) แต่ปัญหาคือ คุณระบุกลุ่มเป้าหมายของสินค้าคุณไม่ได้ ทำให้เวลาโฆษณา ก็ไม่เข้าเป้าเสียเงินมากเกินไป หรือสร้างคอนเทนต์ก็ไม่โดนใจ เรียกว่าเสียเงินหายอด Like สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์ เพราะคนที่กด Like เขากดเพื่อจะลองติดตาม ถ้าเนื้อหาไม่ใช่แบบที่ต้องการ ก็เหมือนเพื่อนเก่า ที่ยังเป็นเพื่อน แต่ไม่เคยได้ข่าวอีกเลย